วันนี้ (12 ม.ค. 56) เวลา 8.00 น. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
ช่วงที่ 1
พิธีกร : สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่รายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน วันนี้เป็นวันเด็กแห่งชาติ ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เราอยู่กันกับน้อง ๆ ซึ่งจะมีหลากหลายอายุมาพูดคุยกัน รวมถึงท่านนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วย ท่านนายกรัฐมนตรีสวัสดีครับ
นายกรัฐมนตรี : สวัสดีค่ะ
พิธีกร : ท่านนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วมีการจัดกิจกรรมการเขียนเรียงความถึงนายกรัฐมนตรี “เรื่องดี ๆ ที่หนูอยากเล่า” ในหัวข้อเรื่อง “เด็กไทยใฝ่เรียนรู้” มีการแบ่งเป็น 3 ช่วงอายุ 6 - 8, 9 - 11, 12 - 14 ปี อันนี้เป็นน้อง ๆ กลุ่มแรก
นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ น้อง ๆ กลุ่มแรกคืออายุ 6 - 8 ปี
พิธีกร : น้อง ๆ เขียนเรียงความอะไรกันมาบ้างครับ
นายกรัฐมนตรี : อันนี้เป็นน้อง ๆ ส่วนใหญ่ที่คัดมาแล้ว ที่ได้รางวัล สวัสดีหรือยังคะ หันไปสวัสดีผู้ชมทางบ้านด้วย
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : สวัสดีค่ะ สวัสดีครับ
พิธีกร : น้องแอนฟิลด์อยู่ไหน ท่านนายกรัฐมนตรีเด็กชายกฤติน มณีเขียว (น้องแอนฟิลด์) บอกว่าน้องเขาค้นหาความรู้มาจาก You Tube ให้ท่านนายกฯ ดูหน่อยครับ
นายกรัฐมนตรี : ให้น้อง ๆ เล่าเองดีกว่า
พิธีกร : เห็นว่าน้องน้องแอนฟิลด์รู้จักอาเซียน 10 ประเทศ มีอะไรบ้างครับ
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี (น้องแอนฟิลด์) : เริ่มจากประเทศบรูไนก่อนนะครับ เป็นประเทศเล็กแต่ร่ำรวย ประเทศที่ 2 ประเทศกัมพูชาครับ อุดมไปด้วยทรัพยากร ประเทศที่ 3 ประเทศอินโดนีเซีย มีเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย และยังมีสะพานเชื่อมทวีปเอเชียกับทวีปออสเตรเลีย และสามารถควบคุมการติดต่อมหาสมุทรทั้งสองนี้ด้วยครับ ประเทศมาเลเซีย มีค่าใช้จ่ายน้ำมันสำรองและก๊าซธรรมชาติมาก ประเทศพม่าเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันครับ ประเทศฟิลิปปินส์ มีจุดแข็งทางด้านภาษา ประเทศไทย คนไทยยิ้มเก่งมาก และประเทศเวียดนาม การเมืองค่อนข้างนิ่งครับ
พิธีกร : น้องแอนฟิลด์ 7 ขวบเท่านั้นเอง
นายกรัฐมนตรี : น้องแอนฟิลด์ เรียนจากที่ไหนครับ
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี (น้องแอนฟิลด์) : จากโรงเรียนสารน์วิเทศนิมิตใหม่ครับ หนูเรียนค้นคว้าเอง
พิธีกร : เห็นว่าหนูไปดูใน YouTube
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี (น้องแอนฟิลด์) : หนูค้นมาจาก Google
พิธีกร : น้องปุญอยากเป็นอะไรครับ
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี (น้องปุญ) : อยากเป็นวิศวกรช่วยนายหลวงครับ
พิธีกร : ตอนนี้กี่ขวบแล้วครับ
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี (น้องปุญ) : 5 ขวบ
นายกรัฐมนตรี : มาถามเด็ก ๆ ตรงนี้ดีกว่า ใครช่วยตอบหน่อยว่าเด็ก ๆ ทุกคน ถ้าเราอยากมีวินัยและเราใฝ่เรียนรู้ ทำอย่างไรให้เรามีความรู้และเรียนเก่งบ้างคะ
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : เรียนหนังสือค่ะ
นายกรัฐมนตรี : หนูตั้งใจฟังคุณครูหรือเปล่า
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : ฟังค่ะ และต้องใฝ่เรียนรู้
นายกรัฐมนตรี : ถ้าใฝ่เรียนรู้แล้วรู้จักประเทศอาเซียนกันหรือเปล่า รู้จักประเทศเพื่อนบ้านไหม
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : รู้จัก
พิธีกร : น้อง ๆ อยากบอกอะไรกับท่านนายกรัฐมนตรีบ้าง
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : หนูอยากขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่ให้โอกาสหนูได้มางานนี้คะ
นายกรัฐมนตรี : ทำไมถึงอยากมางานนี้
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : เพราะว่าสนุกคะ หนูอยากขอบคุณที่ท่านนายกรัฐมนตรี คัดเลือกหนู
นายกรัฐมนตรี : อยากรู้ไหมคะ ว่านายกฯ อยากได้อะไรรู้ไหมคะ อยากให้เด็กๆ ทุกคนเป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณแม่และของคุณครู ทำได้ไหมคะ
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : ทำได้
นายกรัฐมนตรี : กลับไปก็ต้องตั้งใจเรียนใช่ไหม
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : ใช่ค่ะ
นายกรัฐมนตรี : ใครลองเล่น แท็บเล็ตพีซีแล้วบ้าง เป็นไงคะ ชอบไหม แท็บเล็ตพีซีทำให้เรียนรู้อะไรบ้าง
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : วิชาสังคม วิชาคณิตศาสตร์
นายกรัฐมนตรี : ชอบเข้าไปดูวิชาไหนมากที่สุด
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : วิชาคณิตศาสตร์
เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : เราต้องขยันเรียนและหนูอยากบอกด้วยว่าเด็กไทยไม่จำเป็นต้องสอบได้ที่ 1 ที่สำคัญคือการขยันเรียนไม่บ่นคะ
นายกรัฐมนตรี : การที่หนูเรียนเราต้องใจตั้งใจเรียน ถ้าตั้งใจเรียนแล้วถึงแม้ไม่ได้ที่ 1 แต่เราก็มีส่วนอื่น ๆ ที่เราเก่งใช่ไหมคะ ให้ตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อ คุณแม่จะได้ภูมิใจ และจะได้พาไปเที่ยวพัทยาด้วย
พิธีกร : ขอบคุณน้อง ๆ มาก อันนี้เป็นกลุ่มแรก เดี๋ยวเรามีอีก 2 กลุ่ม ที่จะมาคุยกันต่อ
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี
พิธีกร : ท่านนายกฯ ครับ นี่เป็นอีกกลุ่มหนึ่งเป็นน้องที่วัย 9-11 ปี น้องอภิรัตนฯ มาจากไหนครับ
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี (น้องอภิรัตนฯ ) : มาจากจังหวัดเชียงรายครับ
พิธีกร : เขียนเรียงความเรื่องอะไรบ้างครับ
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี (น้องอภิรัตนฯ ) : เขียนเรื่องการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ในชีวิตประจำวันของผมครับ
พิธีกร : เล่าให้ท่านนายกฯ ฟังหน่อยสิครับว่า
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี (น้องอภิรัตนฯ ) : ใช้หลักอิทธิบาท 4 คือ 1. ฉันทะ คือ ความพอใจ ใฝ่รัก ใฝ่หาความรู้และใฝ่สร้างสรรค์
2. วิริยะ คือ ความเพียรพยายามมีความอดทนไม่ท้อถอย 3. จิตตะ คือความเอาใจใส่และตั้งใจแน่วแน่ในการทำงาน 4. วิมังสา คือความหมั่นใช้ปัญญาและสติในการตรวจตราและคิดไตร่ตรอง
นายกรัฐมนตรี : แล้วนำไปใช้อย่างไรบ้างคะ
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี (น้องอภิรัตนฯ ) : ใช้ที่โรงเรียนและที่บ้าน
นายกรัฐมนตรี : วันเด็กอยากได้อะไร
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี (น้องอภิรัตนฯ ) : วันเด็กผมไม่อยากได้อะไร ได้มาที่นี่ก็พอแล้วครับ
พิธีกร : น้อง ๆ วันเด็กปีนี้อยากได้อะไรบ้าง อยากบอกอะไรท่านนายกฯ บ้างครับ
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : อยากบอกว่าหนูรักท่านนายกฯ คะ และสิ่งที่หนูอยากจะได้คืออยากเจอพี่ พี่หายไป
นายกรัฐมนตรี : พี่หายไปเหรอคะ พี่หนูอยู่ไหน หนูอยู่จังหวัดไหนคะ เดี๋ยวจะหาข้อมูลแล้วช่วยหาพี่หนูนะคะลูก และตอนนี้หนูอยู่กับใครคะ
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : อยู่กับพ่อและแม่
นายกรัฐมนตรี : คิดถึงพี่ใช่ไหม พี่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง พี่หายไปนานหรือยัง
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2555
นายกรัฐมนตรี : แล้วหนูไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือยัง
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : บอกแล้ว
นายกรัฐมนตรี : เดี๋ยวขอข้อมูล ช่วยหาให้นะคะ พี่จะได้กลับมาหาหนูนะคะ หนูต้องอดทน คนเก่งนะคะ
พิธีกร : มีใครอยากบอกท่านนายกรัฐมนตรีอีก
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : หนูอยากบอกว่าหนูรักท่านนายกฯ ค่ะ หนูอยากให้ประเทศไทยเรามีความสุขค่ะ หนูต้องขอขอบคุณท่านนายกฯ ที่ให้โอกาสหนูด้วยค่ะ
นายกรัฐมนตรี : นายกฯ ก็อยากบอกว่านายกฯ ก็รักหนูทุกคนนะคะ และเราก็อยากเห็นประเทศไทยของเรามีความสุขใช่ไหม เราต้องช่วยกันนะ
พิธีกร : อยากบอกอะไรท่านนายกฯ บ้างครับ
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : อยากบอกว่าหนูรักท่านนายกฯ มากคะ
พิธีกร : โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรครับ
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : อยากเป็นพยาบาลคะ
พิธีกร : เรียนหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : ตั้งใจเรียน
นายกรัฐมนตรี : ทำไมอยากเป็นพยาบาลคะ พยาบาลช่วยเหลือคนป่วยหรือเปล่า
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : ค่ะ
พิธีกร : ใครอยากบอกอะไรท่านนายกฯ บ้าง
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : เพื่อนที่โรงเรียนอยากขอลายเซ็นครับ
นายกรัฐมนตรี : ได้ครับ เดี๋ยวส่งไปให้ครับ
พิธีกร : ตรงนี้อีกคนหนึ่ง อยากบอกอะไรท่านนายกฯ บ้าง
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : หนูอยากบอกท่านนายกฯ ว่าหนูรักท่านนายกฯ และของขวัญในวันเด็กคือหนูขอให้ได้มาที่นี่แล้วกัน ของขวัญหนูไม่อยากได้อะไร แค่หนูได้เจอท่านนายกฯ ตัวจริงแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : อย่างหนึ่งผมคิดถึงท่านทักษิณ ชินวัตร อยากให้ท่านกลับมาเร็ว ๆ และขอให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์แก้รัฐธรรมนูญใหม่ด้วยนะครับ คอยฟังข่าวอยู่ตลอด
นายกรัฐมนตรี : เก่งมาก แล้วรู้เรื่องหรือเปล่า
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : รู้เรื่องครับ ทหารเขาปฏิวัติตั้งแต่ปี 2549 ประมาณนั้นครับ อยากให้แก้รัฐธรรมนูญเร็ว ๆ
นายกรัฐมนตรี : จะทำให้นะครับ
พิธีกร : ติดตามข่าวสารบ้านเมืองดีมาก มางานวันเด็กปีนี้อยากไปเที่ยวที่ไหนบ้าง
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : ผมอยากไปเที่ยวเชียงรายครับ
พิธีกร : เชียงรายมีอะไรบ้าง อยากไปดูอะไร
เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : ไปดูดอกไม้
พิธีกร : อยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเด็กครับ
เด็กช่วงอายุ 9 – 11 ปี : ไม่อยากได้อะไรมากค่ะ แค่ได้พบนายกรัฐมนตรีก็พอแล้ว เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตค่ะ
นายกรัฐมนตรี : จริงหรือเปล่า ตื่นเต้นไหมคะ
เด็กช่วงอายุ 9 – 11 ปี : จริงค่ะ ตื่นเต้น ดีใจมากค่ะ
นายกรัฐมนตรี : จริง ๆ แล้วนายกรัฐมนตรีก็อยากเจอพวกหนู ๆ จริง ๆ แล้วอยากไปหาเด็ก ๆ ทุกคนเลย ยังมีอีกหลายที่ที่ยังไม่มีโอกาสลงไปหาน้อง ๆ เลย ขอฝากส่งความระลึกถึง เมื่อเด็ก ๆ กลับไปก็มีหน้าที่ดูแลคุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็เชื่อฟังคุณครูนะคะ
พิธีกร : ขอบคุณน้อง ๆ กลุ่มนี้มากเลยครับ
พิธีกร : ท่านนายกรัฐมนตรีครับ นี่เป็นกลุ่มสุดท้าย เป็นเด็กโตขึ้นมานิดหนึ่ง กลุ่มเด็กอายุ 12 – 14 ปี ที่เขียนเรียงความเข้ามา มาจากไหนกันบ้างครับ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : จังหวัดสตูลค่ะ
พิธีกร : มาจากจังหวัดสตูลและจากหลาย ๆ ที่นะครับ คนไหนชื่อน้อง รูวัยดาครับ อยู่ไหนครับ หัวข้อที่น้องเขียนว่าเด็กไทยใฝ่เรียน น้องรูวัยดาคิดว่าเด็กไทยควรใฝ่เรียนรู้อย่างไรบ้าง
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ต้องขยันเรียนหนังสือและสามารถหาความรู้ได้จากอินเตอร์เน็ตค่ะ
นายกรัฐมนตรี : นอกจากนั้นมีที่ไหนอีกคะ คุยกับผู้ใหญ่ได้ไหม
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : คุยกับผู้ใหญ่และเพื่อน ๆ ค่ะ
นายกรัฐมนตรี : น้อง ๆ ช่วยคิดหน่อยว่าเราจะมีวิธีทำอย่างไร ให้เด็กไทยเราเป็นเด็กที่ใฝ่เรียนรู้ และไปหาความรู้ที่ไหนอีกนอกจากห้องเรียนค่ะ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ห้องสมุดประชาชน
นายกรัฐมนตรี : แล้วมีที่ไหนอีกค่ะ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : โทรทัศน์ครับ
นายกรัฐมนตรี : โทรทัศน์ ใช่ค่ะ ติดตามข่าวสาร อ่านหนังสือพิมพ์ไหมคะ มีที่ไหนอีกบ้าง แล้วอาเซียนเป็นอย่างไรบ้าง คุณครูได้สอนไหมคะ ทำไมเราต้องรู้จักอาเซียนคะ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : เพราะเขาจะมารวมกับประเทศไทยในอีก 3 ปี ข้างหน้าค่ะ
นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ เราต้องรู้จักประเทศเพื่อนบ้านใช่ไหม สิ่งที่จะทำให้เรารู้จักประเทศเพื่อนบ้านคืออะไรคะ ต้องเรียนภาษาอะไร
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ภาษาอังกฤษ
นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ แล้วคุณครูเริ่มสอนหรือยัง
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : สอนแล้วค่ะ
นายกรัฐมนตรี : สอนแล้วใช่ไหมค่ะ ดีใจค่ะ แล้วก็อยากถามว่าในวันเด็กอยากได้อะไรในวันเด็กบ้าง
พิธีกร : อยากได้อะไรในวันเด็กครับ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากให้คนไทยรักกันค่ะ
พิธีกร : อยากให้คนไทยรักกัน แล้วน้องหล่ะครับวันเด็กอยากได้อะไร
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากให้ทุกคนสามัคคีกันและช่วยเหลือกันค่ะ
พิธีกร : น้องหล่ะครับ วันเด็กอยากได้อะไร
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากให้คนไทยมีความสามัคคีมากขึ้น
พิธีกร : อยากให้คนไทยมีความสามัคคีมากขึ้นนะครับ แล้วโรงเรียนของน้อง ๆ ล่ะครับ อยากฝากอะไรถึงท่านนายกรัฐมนตรีไหมครับ อยากให้ปรับปรุงอะไรที่โรงเรียนของน้อง ๆ ไหม ให้การศึกษาดีขึ้นหรือว่ามีที่เล่นมากขึ้น
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ก็อยากให้ดูแลเรื่องหนังสือค่ะ
พิธีกร : ดูแลเรื่องหนังสืออย่างไรครับ
นายกรัฐมนตรี : หนังสือเป็นอย่างไรค่ะ หนังสือไม่พอหรือค่ะ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ใช่ค่ะ เป็นบางโรงเรียนค่ะ ไม่ได้หมายถึงโรงเรียนหนูค่ะ
นายกรัฐมนตรี : หมายถึงหนังสืออ่านนอกเวลา หนังสืออ่านประกอบใช่ไหมค่ะ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ใช่ค่ะ
นายกรัฐมนตรี : ได้ค่ะ เพราะวันนี้เราอยากให้เด็กไทยอ่านหนังสือให้มาก ๆ เพราะว่าจะได้เก่ง ๆ เดี๋ยวนี้คนอื่นเขาอ่านหนังสือมากขึ้น
พิธีกร : เรื่องเทคโนโลยี ใครใช้อินเตอร์เน็ตเก่งบ้างครับ ใครใช้บ้าง ใช้ทำอะไร
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ใช้ในการหาความรู้ จาก Google หรือที่คนอื่นโพสต์ไว้ใน Facebook
นายกรัฐมนตรี : แล้วเล่นเกมส์ออนไลน์ไหม
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : เล่นครับ
นายกรัฐมนตรี : เล่นแล้วอย่าเล่นนานนะ ไปหาความรู้ดีกว่า
พิธีกร : ได้มีโอกาสมาที่นี่ เจอท่านนายกรัฐมนตรีแบบนี้ อยากบอกอะไรกับท่านนายกรัฐมนตรีบ้างในวันเด็ก
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากบอกว่าท่านนายกรัฐมนตรีเก่งมาก เพราะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ปกครอง ได้เป็นรัฐบาลในยุคนี้ ท่านเก่งมากค่ะ
นายกรัฐมนตรี : ขอบคุณค่ะ
พิธีกร : มีใครอยากบอกอะไรอีกไหม
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีส่งเสริมเด็กไทยให้ใฝ่เรียนรู้มากขึ้นค่ะ
พิธีกร : แล้วสิ่งที่น้อง ๆ อยากได้ในวันเด็กปีนี้ ลองบอกท่านนายกรัฐมนตรีหน่อยว่าอยากได้อะไร น้องตัวเล็กที่สุดก่อนเลย
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากได้ตุ๊กตา
พิธีกร : ตุ๊กตาอะไรครับ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ตุ๊กตาหมีครับ
พิธีกร : น้องครับอยากได้อะไรในวันเด็กครับ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากได้หนังสืออะไรก็ได้ที่มีความรู้มาก ๆ ครับ
พิธีกร : พอเลิกจากโรงเรียนไปแล้ว กลับไปบ้านอ่านหนังสือหรือว่าไปเล่นสนุกกัน
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : เลิกเรียนแล้วก็เล่นกันสักพักแล้วก็กลับบ้านไปอ่านหนังสือครับ
พิธีกร : หลังเลิกเรียนน้อง ๆ ทำอะไรกันบ้างครับ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : หลังจากเลิกเรียนแล้ว ในทุก ๆ วันโรงเรียนของหนูก็จะมีการบ้าน เพื่อให้นักเรียนกลับมานั่งฝึกฝนกันที่บ้าน หลังจากเลิกเรียนเราก็ได้ความรู้จากที่เรียนพิเศษมามากแล้ว ก็กลับมาพักผ่อนก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย วันละ 2 – 3 ชั่วโมงค่ะ
นายกรัฐมนตรี : แล้วตอนนี้หลังเลิกเรียนการบ้านเยอะไหมค่ะ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ช่วงนี้มีการสอบค่ะ ก็เลยให้นักเรียนทบทวนหนังสือ
นายกรัฐมนตรี : แล้วมีเวลาไปออกกำลังกาย ไปช่วยช่วยคุณพ่อ คุณแม่ทำงานบ้างไหม
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ก็มีค่ะ หลังจากเลิกเรียนหนูก็ออกกำลังกายช่วยงานบ้านก่อน หลังจากนั้นก็ไปเรียนพิเศษค่ะ
นายกรัฐมนตรี : มีใครอยากจะบอกอะไรอีกไหมคะ เรื่องอะไรก็ได้
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : หนูอยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีไปเที่ยวจังหวัดนครพนมของหนู ไปชมสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แล้วก็ไปไหว้พระธาตุพนมค่ะ
นายกรัฐมนตรี : ได้ค่ะ วันหลังจะแวะไปนะคะ อยากไปทุกที่เลย
พิธีกร : มีใครอยากจะบอกอะไรท่านนายกรัฐมนตรีอีกไหมครับ น้องอีกคนหนึ่งบอกอะไรท่านนายกรัฐมนตรีบ้างครับ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีไปที่จังหวัดของผมครับ
พิธีกร : จังหวัดอะไรครับ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : จังหวัดสตูลครับ โรงเรียนของผมคือโรงเรียนอนุบาลสตูลครับ
พิธีกร : ที่โรงเรียนมีอะไรน่าสนใจบ้าง
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : มีหลักสูตรมาตรฐานสากล ที่ให้เด็ก ๆ เรียนรู้กันเองครับ ไม่มีหนังสือครับ
พิธีกร : แล้วเรียนกันอย่างไรครับ ไม่มีหนังสือเรียน
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ก็เดาเองเลยครับ ใช้กระบวนการตัดสินใจทุกขั้นตอนครับ
นายกรัฐมนตรี : ได้ค่ะ เดี๋ยววันหลังจะส่งหนังสือไปให้ ถ้าอยากได้หนังสือไปอ่านนะคะ
พิธีกร : เห็นว่าในตรงนี้จะมีคนมอบของขวัญให้ท่านนายกรัฐมนตรีด้วย ใครครับ เป็นอะไรครับ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : เป็นภาพวาดแล้วก็ระบายสีค่ะ
นายกรัฐมนตรี : หนูวาดเองใช่ไหม ใช้เวลาวาดนานไหมค่ะ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ต้องรีบวาดค่ะ อาจจะไม่สวยเท่าไหร่ ใช้เวลาประมาณ 1 วันค่ะ
พิธีกร : เขียนอะไรในนั้นบ้าง
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : เป็นกลอนค่ะ
นายกรัฐมนตรี : ค่ะ แล้วที่สำคัญคือคุณค่าทางใจที่หนูช่วยกันค่ะ ขอบคุณมาก ก็ดีใจที่หนู ๆ ทุกคนมา แล้วก็ได้มีโอกาสได้เจอ เพราะบางครั้งเราไม่มีโอกาสได้เดินทางไปหาได้ทุกที่ แต่อย่างน้อยอยากรู้ว่านายกรัฐมนตรีรักเด็กทุกคนค่ะ แล้วขอฝากส่งกำลังใจให้น้อง ๆ ทุกคนด้วย
พิธีกร : เห็นว่าน้อง ๆ จะร้องเพลงให้ท่านนายกรัฐมนตรีฟังด้วย เพลงอะไรครับ
เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : หน้าที่เด็กดี
เพลง..หน้าที่เด็ก
เด็กเอ๋ย..เด็กดี ต้องมีหน้าที่ ๑๐ อย่างด้วยกัน เด็กเอ๋ย..เด็กดี ต้องมีหน้าที่ ๑๐ อย่างด้วยกัน หนึ่ง...นับถือศาสนา สอง...รักษาธรรมเนียมมั่น สาม...เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ สี่...วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน ห้า...ยึดมั่นกตัญญู หก...เป็นผู้รู้รักการงาน เจ็ด...ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ต้องมานะบากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน แปด...รู้จักออมประหยัด เก้า...ต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ ให้เหมาะกับกาล สมัยชาติพัฒนา สิบ...บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ รู้บาปบุญคุณโทษ สมบัติชาติต้องรักษา เด็กสมัยชาติพัฒนา จะเป็นเด็กที่พา ชาติไทยเจริญ
พิธีกร : ขอบคุณมากครับ
ช่วงที่ 2
พิธีกร : กลับเข้าสู่อีกช่วงหนึ่งของ รายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชนครับ ท่านนายกรัฐมนตรีครับ เมื่อสักครู่ท่านนายกรัฐมนตรีได้เห็นน้อง ๆ 3 ช่วงอายุแล้ว เห็นพัฒนาการเด็กไทยเป็นอย่างไรบ้างครับ
นายกรัฐมนตรี : ก็ถือว่าวิวัฒนาการเด็กไทยนั้นเริ่มมีความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นมากขึ้น จากที่ได้เห็นน้อง ๆ หลายคน สามารถที่จะเรียนรู้แล้วก็ค้นคว้า ดิฉันมองว่าสิ่งที่เด็กไทยวันนี้เริ่มรู้จักที่จะหาความรู้เพื่อเป็นตัวเสริม นอกเหนือจากห้องเรียน นี่ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี
พิธีกร : ดูเหมือนว่าเด็กไทยเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น
นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ
พิธีกร : คือให้ความสำคัญว่าเทคโนโลยีมีบทบาทในการเรียนรู้
นายกรัฐมนตรี : แล้วที่สำคัญเราต้องสอนเด็กในเรื่องการค้นคว้าเทคโนโลยี แล้วนำเอาสิ่งที่ดีมาใช้ เพราะบางครั้งก็อาจไปในทางที่ผิดได้ ซึ่งตรงนี้มันก็จะมีทั้งข้อดี ข้อเสีย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเริ่มสอนในหลักการค้นคว้าว่าเราควรจะนำเอาความรู้อย่างไร แล้วก็ต้องมีข้อจำกัดของเวลา หรือการเรียนรู้ อย่างเช่นไปเล่นเกมส์นานเกินไป ก็จะมีปัญหาตรงนี้ ก็ต้องฝากด้านของคุณครูและผู้ปกครองให้ช่วยเสริมเด็กในส่วนนี้ด้วย
พิธีกร : ก็คืออยู่ในคำขวัญที่ท่านนายกรัฐมนตรีให้ไว้ ก็คือ “รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน” ซึ่งน้อง ๆ หลายคนรู้จักอาเซียน
นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ เป็นอะไรที่ Surprise (ประหลาดใจ) มาก น่ารักมาก สามารถที่จะจำได้หมดเลย
พิธีกร : ถ้าเราย้อนกลับมาดูความพยายามของรัฐบาลในการที่จะดูแลน้อง ๆ ตั้งแต่แรกเกิดจนจบการศึกษา รัฐบาลจะมีการดูแลอย่างไรบ้าง
นายกรัฐมนตรี : ต้องเรียนว่าเด็กไทยวันนี้ เป็นกำลังสำคัญของประเทศ และในอีกไม่นานเราก็จะก้าวสู่สังคมของผู้สูงอายุ ดังนั้นการที่ส่งเสริมให้เด็กไทยมีความรู้ความสามารถ เรียกว่าเป็นความสำคัญเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องทำงานควบคู่กับกระทรวงศึกษาธิการ สิ่งที่ดิฉันมองอย่างแรก คือกลับไปดูในเรื่องของปัญหาของเด็กไทยในภาพรวมก่อนว่า ปัญหาในภาพรวมที่เราเห็นในวันนี้ก็คือว่า เรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาเป็นจำนวนมาก ก็จะเห็นว่าสิ่งที่ออกมาก็สะท้อนในเรื่องของเด็กในการเรียนรู้ต่าง ๆ อาจจะเรียนด้านเทคโนโลยีมาก แต่ขณะเดียวกันในด้านของคุณธรรม วัฒนธรรม หรือเรียกว่า Soft Side หรือด้านความเป็นมนุษย์ การเอื้ออาทรต่อกัน อันนี้ก็คงต้องเสริมไปด้วย แล้วก็เด็กไทยเองวันนี้ สิ่งที่เราเห็นก็เรื่องของความสำคัญของ พ่อ แม่ ตั้งแต่แรกเกิด การขาดการเรียนเรื่องของสารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ตั้งแต่แรกเกิด ตรงนี้ในส่วนของรัฐบาลเอง เรามองการดูแลพัฒนาเด็กตั้งแต่ช่วงครรภ์มารดา ไปแต่ละช่วงอายุ เพราะถ้าถามว่าทำไมเราต้องอย่างนี้ เพราะเราเริ่มกลับมามองตรงนี้ เราจะได้เข้าใจเด็กในแต่ละช่วง เพราะว่าความต้องการในแต่ละวัยนั้น มีความต่างกัน ไม่เหมือนกันเลย ถ้าเราทำความเข้าใจแล้วเราก็กลับไปดูว่ากระบวนการในการทำความเข้าใจ ทุก ๆ วัยนั้น สิ่งที่ดิฉันมองหรือรัฐบาลมองเราคงต้องร่วมกัน ตั้งแต่การเสริมด้าน IQ ก็คือ ความรู้ที่เด็กต้องเรียนให้เก่ง เพราะฉะนั้นที่จะเรียนเก่งก็ต้องเสริมทั้งความรู้ในห้องเรียน นอกห้องเรียนก็จะเห็นว่านโยบายของรัฐบาลที่เราพยายามนำเอาแท็บเล็ตพีซี มาให้เด็กประถมศึกษาปีที่ 1 ใช้ เพราะว่าเพื่อจะดึงจุดสนใจในการเรียนการสอนให้เด็กนั้นกล้าใช้เทคโนโลยีมาเรียนรู้ให้มากขึ้น และตัวที่สอง EQ ก็คือ ความรู้วุฒิภาวะทางอารมณ์ ซึ่งอารมณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าถ้าเด็กเรียนเก่งอย่างเดียว แต่ในแง่ของอารมณ์ไม่สามารถเข้ากับเพื่อนได้ เขาก็จะอยู่ในสังคมไม่ได้ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งดิฉันก็มองว่า นอกเหนือจาก IQ และ EQ แล้ว หลาย ๆ ท่านก็จะมีมากกว่านั้น เช่น AQ แต่สิ่งที่ดิฉันมองอีกตัวหนึ่งก็คือ attitude ก็คือทัศนคติ ที่เราคงจะต้องลงมาดูแลควบคู่กันไป เพราะวันนี้สังคมไทยของเรามีสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงมากมาย เราก็อยากเห็นเยาวชนไทยนั้นมองเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม ความกตัญญูกตเวทิตา ต่อบรรพบุรุษ ต่อคุณพ่อ คุณแม่ คุณครู ผู้ที่มีพระคุณต่อเรา รวมถึงการที่เราจะใช้หลักในเรื่องของคุณธรรมประจำใจที่จะได้เข้าใจ รู้จักคนอื่นมากขึ้น อันนี้ก็คงจะเป็นสิ่งคิดว่าเราควรจะกลับเข้ามาพูดคุยในตรงนี้มากขึ้น ให้เด็กเข้าใจแก่นแท้ อันนี้เป็นสิ่งรัฐบาลพยายามจะมอง เราเองก็เลยนำเอาความคิดต่าง ๆ เหล่านี้ได้มาหารือกัน ก็ได้มีการพูดคุยกับผู้ที่มีความรู้และผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการการศึกษา ทั้งด้านของภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งในสายของอาชีวะ สายสามัญ ที่พูดคุยกันว่าวันนี้เราน่าจะถึงเวลาแล้วในการที่มาคุยกันในการพัฒนาวงการการศึกษาไทย ซึ่งการพัฒนาวงการการศึกษาไทยนั้น ก็คงต้องมองตั้งแต่การพัฒนาตัวเด็กแน่นอน อย่างที่เรียนว่าใช้หลักการพัฒนาตามช่วงอายุ อันที่สองก็คือครู ซึ่งครูก็เป็นบุคคลที่มีความสำคัญ จะทำอย่างไรแทนที่จะมาทำงานบริหาร งานที่ต้องดูแลอย่างอื่นมากขึ้น ไปใช้เวลากับนักเรียนมากขึ้น และวิธีการเรียนการสอน ที่จะทำให้ครูนำสื่อต่าง ๆ เข้าถึงเด็ก แทนที่เราจะต้องมาป้อนข้อมูล แต่ทำอย่างไรให้เด็กคิดและดึงศักยภาพของเด็กออกมา แล้วก็อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเรียนการสอน วันนี้จะเห็นว่าหลายโรงเรียนก็อาจจะขาดเรื่องหนังสือนอกเวลา หรือว่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่จะค้นคว้าต่าง ๆ รวมถึงบรรยากาศที่โรงเรียนและชุมชน สภาพแวดล้อมก็คงต้องเอื้ออำนวยด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องมาพูดคุยกัน แล้วก็เป็นสิ่งที่ต้องทำในระยะยาว เพื่อสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาให้กับเด็กไทย
พิธีกร : ฟังดูแล้วที่ท่านนายกฯ พูดคือการพัฒนาการของเด็กจะไม่ได้เกี่ยวกับตัวเด็กอย่างเดียว แต่ว่าสิ่งที่อยู่แวดล้อมเกี่ยวกับตัวเด็กทั้งคุณครู ครอบครัว เข้าไปเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเหล่านั้นด้วย คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเข้าใจลูกว่าสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร คุณครูเองก็ต้องเข้าใจว่ามีวิธีพัฒนาเด็กเป็นอย่างไร ซึ่งตรงนี้รัฐบาลมีแนวทางอย่างไรในการที่จะพัฒนาทั้งครูหรือคุณพ่อคุณแม่ให้เข้าใจเด็ก ๆ ด้วย
นายกรัฐมนตรี : จริง ๆ แล้วก็ต้องเริ่มตั้งแต่อย่างที่เรียนว่าของครูนั้น เราคงคุยกันเริ่มตั้งแต่ภาครัฐก่อนที่จะพูดคุยกันว่าจะเพิ่มศักยภาพของครูอย่างไร และเราจะทำให้ครูเข้าใจในการที่จะดึงศักยภาพของเด็กมาเพราะเราเชื่อว่าเด็กทุกคนถ้าเราได้ดึงศักยภาพของเขามาใช้อย่างเต็มที่อย่างเช่น การมีส่วนร่วมในการเรียนให้มีโอกาสได้แสดงออกมากขึ้น เราก็จะได้รู้ว่าเด็กเก่งอย่างไร มีเวทีใดที่เขาจะได้แสดงออกอย่างถูกวิธี อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะเสริม แต่แน่นอนเสริมอย่างไรก็ตามก็ต้องทำงานคู่กับภาคเอกชน ซึ่งวันนี้ภาคเอกชนไปไกลหลาย ๆ ที่ จะเห็นว่าโรงเรียนต่าง ๆ มีความแข็งแรงมาก อันนี้คือสิ่งที่เราคงจะทำงานร่วมกัน แต่เด็กเองนั้นสิ่งที่ดิฉันเรียนว่าเราอยากจะกลับมาเน้นในภาคของการคิดในการปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้อง อันนี้จะเป็นจุดที่เราจะอยู่ได้ระยะยาวแทนที่เราจะใช้วิธีเน้นกฎกติกามาบังคับ แต่ขณะเดียวกันโลกและเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็ได้เคลื่อนตัวไปมากแล้ว ดังนั้นเราต้องฝึกให้เด็กได้เข้าใจหลักแก่นแท้และหลักในการคิดก่อน
พิธีกร : ดังนั้นหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคมที่มีบทบาทในการปลูกฝังเด็กก็คือครอบครัว เพราะฉะนั้นครอบครัวต้องมีความเข้มแข็ง แข็งแรงในการที่จะดูแลเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ
นายกรัฐมนตรี : อันนี้เป็นพื้นฐานที่ถูกต้อง แต่ว่าเราก็เข้าใจปัญหาสังคมไทยวันนี้คือภาระของคุณพ่อ คุณแม่ก็มีมากบางครั้งอาจจะไม่มีเวลา แต่สิ่งที่เราจะต้องช่วยคือต้องช่วยกันบูรณาการความแข็งแรงนี้ภายใต้พื้นฐานของครอบครัวบวกกับครู ถ้าสมมุติครอบครัวติดภาระต่าง ๆ ครูก็จะเข้ามาเสริมในส่วนนี้ เราก็มองว่าครูนอกจากจะเป็นครูผู้สอนที่ดึงศักยภาพของเด็กแล้ว นอกเหนือจากนั้นครูควรจะเป็นเหมือนกับผู้ปกครองอีกคนหนึ่ง เป็นที่พึ่งของเด็กที่สามารถพูดกับครูได้ทุกเรื่อง
พิธีกร : เพราะบางทีเด็กอยู่กับครูทั้งวันมากกว่าอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน
นายกรัฐมนตรี : ถูกต้องค่ะ ฉะนั้นตรงนี้ครูก็ต้องทำงานควบคู่กันไป แล้วถ้าครูมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ก็จะได้ช่วยกันแก้ปัญหาให้แก่เด็กและเยาวชนได้
พิธีกร : อย่างปีนี้ท่านนายกฯ มีคำถามจากสภานักเรียน ถามว่าเนื้อหาสาระของหลักสูตรของบ้านเราไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา อาจจะดูไปแล้วเก่าดูไม่ทันสมัยต้องมีการปรับปรุงด้วยไหมครับ
นายกรัฐมนตรี : ในข้อเท็จจริงทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการปรับปรุงอยู่เป็นระยะ แต่ว่าดิฉันเองมองว่าเราอาจจะต้องมานั่งดูทั้งระบบว่าเนื้อหา วิธีการเรียนการสอน อย่างเรื่องของวิทยาศาสตร์เราก็ขาดมากในเรื่องของอุปกรณ์แล็บ เครื่องมือที่จะให้เด็กทดลอง และบางครั้งการที่จะต้องใช้เวลาในการทดลองนอกห้องเรียนบ้าง ซึ่งตรงนี้ที่ได้มีการพูดคุยกันและจะได้นำประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้มาศึกษาและมาคิดว่าเราจะแก้ปัญหากันอย่างไร ซึ่งเราอาจจะแบ่งการแก้ปัญหาเป็น 2 ส่วนคือว่า อะไรที่เราจะสามารถแก้ไขได้เลยทันทีระยะสั้นก็คงทำ และบางส่วนก็จะมีในเรื่องกฎกติกาหรือระเบียบต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ทำและแก้ไป
พิธีกร : อย่างเช่นล่าสุดที่รัฐมนตรีพงศ์เทพฯ ได้ประกาศเรื่องของการผ่อนปรนเรื่องการตัดผม ทรงผม ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มหนึ่งที่จะเป็นการทำให้เด็กนั้นอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เพราะว่าท่านนายกฯ บอกแต่ตอนต้นว่าโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กฎกติกาบางอย่างอาจจะดูล้าสมัยไปแล้ว รัฐบาลก็จะต้องไปมองดูเช่นกัน
นายกรัฐมนตรี : เช่นกันค่ะ อันนี้ก็จะเรียกว่าในแง่ของจิตใจมากกว่า ในแง่ของความสบายใจของเด็กนักเรียนเพราะบางทีจริง ๆ แล้วระเบียบ กติกาต่าง ๆ ดิฉันเองก็มองว่าเราก็อยากให้เห็นว่าเวลาต่าง ๆ เปลี่ยนไปแล้ว ในแง่ของสังคมก็เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ได้หมายความจะไม่มีกติกา เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็คือเรียกว่าความสมดุลที่ทางกระทรวงศึกษาธิการต้องพิจารณาให้กับเด็กอย่างเรื่องทรงผม เราเข้าใจในส่วนของเด็กว่าเวลาที่จะไปไหนบางครั้งในช่วงวัยรุ่นเขาก็อยากจะมีความภาคภูมิใจในทรงผมต่าง ๆ แต่แน่นอนเราก็คงจะไม่สามารถไปได้ตามทรงผมที่เป็นที่นิยม อาจจะกลับมาว่าทรงผมไหนเป็นทรงผมที่สุภาพ แต่ก็อาจจะให้มีความคล่องตัวให้กับเด็กบ้างเด็กก็จะมีความรู้สึกที่ดี อันนี้ก็ส่วนหนึ่งที่กระทรวงศึกษาธิการก็คงอยากจะนำมาพิจาณาตรงนี้ให้เป็นของขวัญสำหรับวันเด็กด้วย
พิธีกร : แต่ว่าอีกปัญหาหนึ่งที่น้อง ๆ สะท้อนมาจากสภานักเรียนคือเรื่องของปัญหายาเสพติด ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะไปแก้ไขหรือว่ารณรงค์ป้องกันได้อย่างไรบ้าง
นายกรัฐมนตรี : อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นปัญหาทางด้านสังคมที่เราเป็นห่วง เรื่องยาเสพติดเราก็ใช้โครงการในการที่จะบูรณาการเรื่องของยาเสพติด การแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ถือว่าเป็นวาระของชาติ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการก็เป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ทำงานในฐานะที่จะเป็นครูที่จะมองเรื่องของเด็ก แต่แน่นอนการที่มองหาเด็กผู้ที่เป็นผู้เสพนั้นก็คงต้องกลับไปดูตั้งแต่เรื่องของสาเหตุมากกว่าว่าสาเหตุคืออะไร หรือแม้กระทั่งว่าวันนี้เราได้เห็นตัวเลขเด็กไทยที่ท้องก่อนวัยอันควร ซึ่งตรงนี้เองเราก็ไม่อยากมองแค่ว่าการที่จะอยากลดแค่ปริมาณปลายทาง แต่ต้องกลับไปดูตั้งแต่ต้นทางว่าทำอย่างไรจะให้เด็กนั้นได้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้องและเด็กจะมีวิธีการในการป้องกันตัวเองได้อย่างไร และปัญหาสังคมที่เริ่มต้นเราจะร่วมกันแก้ไขอย่างไร นี่คือสิ่งที่ดิฉันเรียนว่าการที่เราบอกว่าเรามี IQ และ EQ อย่างเดียวก็เชื่อว่าในอนาคตคงไม่เพียงพอคงต้องดูในส่วนอื่นด้วย ตรงนี้ก็จะทำควบคู่กันไป เพราะว่าเทคโนโลยีเข้ามามาก บางทีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ทำให้คนอาจจะมีความคิดหลากหลาย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องกลับย้อนสู่เรียกว่ากลับเข้าสู่ back to basic (กลับไปพื้นฐาน) บ้าง
พิธีกร : คือเอาตัวเด็กเป็นศูนย์กลางด้วย
นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ
พิธีกร : อีกประเด็นหนึ่งที่มีน้อง ๆ ถามเข้ามาคือเรื่องของเด็กที่อาจจะมีโอกาสน้อยกว่าในสังคม อาจจะเป็นเด็กพิการหรือกลุ่มเด็กพิเศษเหล่านี้ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างไร ในการที่จะให้การศึกษาหรือปูทางให้เขานั้นได้มีการประกอบอาชีพในการเติบโตต่อไป
นายกรัฐมนตรี : ในส่วนตัวดิฉันเองมองว่าเด็กที่เป็นเด็กพิเศษ เด็กด้อยโอกาส หรือเด็กพิการต่าง ๆ นั้น จริง ๆ เรามองเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่สามารถที่จะเข้าเรียนตามห้องเรียนปกติได้ เราก็อยากเห็นโรงเรียนรับน้อง ๆเข้าเหมือนเด็กปกติบ้าง แต่ถ้าบางกลุ่มที่ต้องให้การดูแลพิเศษอันนี้ก็แน่นอนภาครัฐต้องหาบุคลากร ซึ่งวันนี้ทุกฝ่ายก็เริ่มให้ความสำคัญและต้องดูในส่วนนี้ด้วย แต่สำหรับเด็กกลุ่มนี้ดิฉันก็เชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพและไม่ได้หมายความว่าเด็ก น้อง ๆ กลุ่มนี้จะเรียนไม่เก่ง แต่จริง ๆ แล้วการที่คนเราเก่งนั้นมีเก่งหลายวิธี บางคนอาจจะเก่งวิทยาศาสตร์แต่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ ซึ่งตรงนี้ถ้าเราดึงศักยภาพของเด็กได้ถูกวิธีแล้วเราอาศัยความรู้ความสนใจที่เด็กเป็นจุดศูนย์กลางนั้นมาในการขยายผลต่อ ดิฉันก็เชื่อว่าเราจะมีวิธีการในการพัฒนาได้มากขึ้นซึ่งวันนี้ต้องมาพูดคุยกันมากขึ้น ก็เป็นหนึ่งในแผนของรัฐบาลที่จะนำเข้าไปพิจารณาร่วมกันในการพัฒนาเรื่องการศึกษาอย่างยั่งยืนต่อไป
พิธีกร : ซึ่งพอพูดถึงการศึกษาเราจะเตรียมความพร้อมเด็กของไทยอย่างไรให้ก้าวเข้าสู่โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่ปีเราจะกลายเป็นหนึ่งในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ 10 ประเทศก็ทำธุรกิจ ธุรกรรมการค้าระหว่างกันได้สะดวก การศึกษาหลักสูตรต่าง ๆ ก็มีการปรับตามให้เหมาะสมอย่างไรที่ก้าวเข้าสู่สากลมากขึ้น
นายกรัฐมนตรี : จริง ๆ ต้องบอกว่าการที่ประเทศจะเข้มแข็ง การที่ประเทศจะก้าวไปข้างหน้านั้น การลงทุนที่สำคัญคือการลงทุนในทรัพยากรคน ซึ่งวันนี้รัฐเองก็พยายามที่จะจัดสรรงบประมาณในการลงทุนทางด้านของคนมากขึ้น ปีนี้คุณธีรัตถ์อาจจะเห็นแล้วว่าจะเป็นอีกหนึ่งในวาระสำคัญของรัฐบาลในปีที่ 2 ที่เราจะก้าวเข้าสู่การพัฒนาและการสร้างความสมดุล โดยเฉพาะการสมดุลทางด้านของทรัพยากรบุคคลซึ่งไม่ว่าจะเป็นส่วนของแรงงานหรือว่าทางด้านของเด็ก เยาวชน หรือนักศึกษาที่จบ ตรงนี้ก็คือเป็นสิ่งที่เราต้องพูดคุยกันระยะยาวและการแก้ปัญหาดิฉันเองมองว่าจะไม่ได้แก้ปัญหาที่จุดใดจุดหนึ่ง เราอยากจะบูรณาการการแก้ปัญหาอย่างครบวงจรนั้นคือทางด้านของนักเรียน คุณครู โรงเรียน อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ และทางด้านของบรรยากาศของชุมชนที่เราจะมองทั้งระบบเข้าด้วยกัน ซึ่งตรงนี้ก็คงจะเห็นการประชุมมากขึ้นและมีจำนวนความถี่มากขึ้นก็จริง ๆ ก็ได้เปิดประชุมไปครั้งหนึ่งแล้วอย่างไม่เป็นทางการก็คงจะหารือกับผู้ที่มีประสบการณ์ในวงการศึกษาที่จะคอยให้คำแนะนำและข้อคิดต่าง ๆ ต่อไป
พิธีกร : ก็คือเป็นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่จะให้เติบโตไปพร้อมกับประเทศ ในขณะที่รัฐบาลเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่ว่าตัวบุคคลเองก็ต้องตอบโจทย์สามารถที่จะเติบโตไปพร้อมกับประเทศด้วย นั่นคือทำให้ประเทศชาติเติบโตอย่างมั่นคง ต้องกลับมาในฐานะที่ท่านนายกฯ เป็นแม่คนหนึ่ง ท่านดูแลน้องไปป์อย่างไรบ้าง
นายกรัฐมนตรี : สิ่งที่เราดูแลน้องไปป์อย่างวันเด็กวันนี้ ก็ดูแลอย่างที่บอกว่าน้องไปป์ไม่ได้บอกว่าวันเด็กเป็นวันพิเศษวันนี้วันเดียว แต่วันเด็กคือวันของลูกทุกวันเพราะแม่จะให้ความสำคัญกับลูก แต่วิธีการสอนลูกดิฉันเองก็สอนด้วยหลักคิดมากกว่าคือเราไม่สามารถจะไปบอกเขาได้ทุกข้อว่าเขาต้องทำอย่างไร แต่สิ่งที่จะบอกเขาได้คือสอนหลักให้เขาคิดและเขาได้ตัดสินใจและให้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด และสอนทางด้านของอารมณ์และหลักความคิดเมตตาธรรมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ที่เราพยายามที่จะเสริมเข้าไป เพราะว่าวิชาการหรือวิธีเรียนเขาสามารถที่จะเรียนที่โรงเรียนกันได้แต่อาศัยความเป็นคนดี หรือการที่ทำให้น้องไปป์สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุขและอย่างมีความสุข อันนี้ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของแม่และหน้าที่ครอบครัวที่จะต้องสอนและเสริมสร้างต่อไป
พิธีกร : ท่านนายกฯ ทำงานหนักมาก มาทำงานตั้งแต่เช้า กลับบ้านดึกมีเวลาพูดคุยและพบกับน้องไปป์มากน้อยแค่ไหน
นายกรัฐมนตรี : พูดคุยก็คือว่าหลังเลิกงานคือกลับบ้านก็จะพยายาม อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องไปข้างนอกก็พยายามที่จะกลับบ้านให้เวลากับลูกก็จะเจอกับลูกก่อนนอน หรือถ้ามีภารกิจจนถึงดึกก็จะตื่นเช้าจะได้เจอลูก ถ้าวันไหนวันหยุดก็จะมีโอกาสไปส่งไปโรงเรียน ซึ่งช่วงหลังก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสมีเวลาน้อยแต่เมื่อก่อนจะไปส่งลูกที่โรงเรียน
พิธีกร : น้องไปป์ขออะไรเป็นของขวัญวันเด็กปีนี้ครับ
นายกรัฐมนตรี : ไม่ได้ขออะไรค่ะ เพราะแม่ก็ให้ความสำคัญกับเขาทุกวัน สิ่งที่เขาอยากได้จริง ๆ แล้วก็คือเวลาที่แม่ได้อยู่กับลูก ก็เคยได้ยินน้องไปป์พูดว่าวันนี้ไปป์มีความสุขเวลาที่แม่ได้นั่งอยู่กับเขา อันนี้คือสิ่งที่เราก็คงจะให้กับลูกตรงนี้เท่าที่เวลาทั้งหมดที่มี
พิธีกร : เหมือนที่เราเห็นการรณรงค์เรื่องการกอดลูก คือการให้ความอบอุ่นกับคนในครอบครัวเรา นี่คือสิ่งที่อยากจะให้ครอบครัวทุกครอบครัวนั้นให้ความสำคัญกับหน่วยเล็ก ๆ ที่สุดคือบ้าน
นายกรัฐมนตรี : หน่วยเล็ก ๆ ตรงนี้ที่มองว่าไม่ใช่เป็นวัตถุแต่เป็นสิ่งที่จิตใจก็เหมือนเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งที่เรากำลังเริ่มปลูกลงดิน แต่ถ้าเราให้ปุ๋ยอย่างถูกวิธีเมล็ดนี้ก็จะเติบโตเป็นต้นกล้าและเป็นต้นไม้ที่แข็งแรง เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ดิฉันให้ลูกก็คือว่าแม้ว่าการกอดลูก การสัมผัสกับลูกต้องให้ลูกได้รู้สึกว่าแม่กอดเพราะรักจริง ๆ ไม่ใช่กอดเป็นแค่รูปธรรมว่านี่คือการกอด นั้นคือสิ่งที่เราพยายามปลูกฝังกับลูกและต้องไปนั่งดูว่าลูกรู้สึกกับเราอย่างไร ไม่ใช่ว่าลูกต้องรู้หน้าที่ว่ามาถึงต้องมากอดแม่ไม่ใช่ นี่คือสิ่งพยายามที่จะเสริม เพราะว่าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างเช่นเรื่องเทคโนโลยี เรื่องเกมส์ เรื่องอะไรต่าง ๆ บางครั้งเด็กจะใช้เรื่องเทคโนโลยีมากแต่ลืมทางด้านของการสัมผัส ดิฉันเองก็พยายามที่จะสร้างความสมดุลตรงนี้ด้วย
พิธีกร : งานวันเด็กที่จัดที่ทำเนียบฯ ปีนี้น้องไปป์มาด้วย มีเซอร์ไพรส์หรือไม่ครับที่นี้
นายกรัฐมนตรี : มีค่ะ ปีนี้ขออนุญาตแม่แทนที่จะเล่านิทานเป็นหน้าที่ลูกบ้าง
พิธีกร : น้องไปป์จะทำอะไรครับ
นายกรัฐมนตรี : จะให้โชว์อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเด็ก ๆ ที่มาร่วมงานค่ะ
พิธีกร : จะต้องมาดูที่ทำเนียบฯ ในสาย ๆ วันนี้ น้องไปป์มาที่นี่
นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ
พิธีกร : กิจกรรมวันเด็กในปีนี้ที่ทำเนียบฯ มีหลายกิจกรรมมากมายใช่ไหมครับคือ มีที่โซนตึกไทยคู่ฟ้า โซนที่เป็น D.I.Y. (ทำมันด้วยตัวคุณเอง) มีพาไปดูห้องท่านนายกฯ
นายกรัฐมนตรี : มีตั้งแต่นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และมีเกมส์ตามซุ้มต่าง ๆ แต่ปีนี้ที่พิเศษมากขึ้นคือมีการนำเอาเทคโนโลยีมาให้กับเด็ก อย่างเช่น ดิฉันเองมีโอกาสได้เจอเด็ก ๆ ตลอดก็จะมีเทคโนโลยีในการพบกันกับเด็ก และมีห้องเรียนวินัย และเรื่องของกิจกรรมตามซุ้มต่าง ๆ และได้มีโอกาสนำ ส.ค.ส. ที่ได้รับจากน้อง ๆ มาโชว์ก็น่าสนใจค่ะ วันนี้ดิฉันหยิบมาด้วยและหนึ่งในตัวอย่าง แต่มีสิ่งที่อยากจะบอกก็คือว่าจาก ส.ค.ส. ที่ส่งมาบอกว่า ขอให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ มีความสุขมาก ๆ หนูไม่มีอะไรให้แต่หนูขอให้นายกฯ มีความอบอุ่นมาก ถ้าหนาวก็ให้ใส่เสื้อกันหนาวก็อบอุ่นเอง และขอให้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ อันนี้คือสิ่งที่จะบอกว่ารู้สึกประทับใจ อันนี้คือหนึ่งในตัวอย่างจริง ๆ ก็มีมาก น้องเขารู้สึกในการเอื้ออาทร นี่คือสิ่งที่รู้สึกถึงความเอื้ออาทรแม้ว่าเราไม่เคยเห็นหน้าเด็กคนนี้เลย ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่สิ่งนี้สื่อสารได้ว่าความรู้สึกทางใจที่เขามีให้กับเรา เขาเป็นห่วงเรา อยากจะฝากบอกน้องด้วยว่าช่วงนี้อากาศหนาวอย่าลืมใส่เสื้อกันหนาวเดี๋ยวจะไม่สบาย
พิธีกร : ผมมีอีกคนหนึ่งเหมือนกันครับท่านนายกฯ บอกว่า ปีใหม่นี้ขอให้นายกฯ มีความสุข ทำงานก็ขอให้มีแต่รอยยิ้มอย่าเครียดเพราะว่า โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า นายกฯ ห้ามโกรธนะครับ ยิ้มไว้เวลาเครียดเพราะยิ้มคือกำลังใจไม่ให้เครียด
นายกรัฐมนตรี : น่ารักจัง จริง ๆ ต้องใช้ได้กับทุกคนว่าไม่ให้เครียดเพราะวันนี้เราอยากเห็นรอยยิ้ม
พิธีกร : จะเห็นว่าในงานวันเด็กที่ทำเนียบฯ มีซุ้มที่ให้เด็กเป็น D.I.Y. คือต้องการส่งเสริมให้เด็กสามารถสร้างสรรค์จากฝีมือตนเองได้ด้วย และมีกิจกรรมมากมายตลอดทั้งวัน
นายกรัฐมนตรี : ทั้งวันค่ะ และยังมีทางด้านของขนมต่าง ๆ และสิ่งที่ให้ความรู้ต่าง ๆ ให้กับเด็กด้วย
พิธีกร : มีการ์ตูนเล่มหนึ่งที่จะแนะนำทำเนียบรัฐบาล แนะนำรัฐบาลว่าเป็นอย่างไร
นายกรัฐมนตรี : อยู่ในกระเป๋านี้
พิธีกร : อยู่ในกระเป๋านี้ น้อง ๆ ที่มาทำเนียบฯ ก็อาจจะได้ของรางวัลตรงนี้กลับไปด้วย
นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ
พิธีกร : วันนี้ขอคุณท่านนายกรัฐมนตรีมากครับ ท่านผู้ชมรับทราบแล้วนะครับว่าในวันเด็กปีนี้ทางรัฐบาลได้มีการจัดกิจกรรมหลากหลาย ที่ทำเนียบรัฐบาลแห่งนี้ก็มีการจัดกิจกรรมเช่นกัน แต่อย่างที่ท่านนายกฯ บอกไปนะครับว่า วันเด็กนั้นไม่ใช่เพียงแค่วันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม ทุกวันเป็นวันของเด็กและสิ่งที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญนั้นก็คือจะต้องมีการพัฒนาตั้งแต่ก่อนที่เด็กจะเกิดจนถึงเด็กเติบโต ทุกภาคส่วนนั้นมีส่วนสำคัญร่วมกันในการที่จะทำให้เด็กซึ่งถึงแม้ว่าเป็นหน่วยเล็ก ๆ ของสังคม แต่เด็กเหล่านี้จะเติบโตมาเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศสืบต่อไปครับ ทั้งหมดคือรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนผมธีรัตถ์ รัตนเสวี สวัสดีครับ
.....................................................
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก