Quantcast
Channel: ศูนย์ข่าวทำเนียบรัฐบาล
Viewing all 1192 articles
Browse latest View live

นายกรัฐมนตรีถวายเครื่องสักการะแด่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เนื่องในวันคล้ายวันเกิด 11 ม.ค. 56

$
0
0
นายกรัฐมนตรีถวายเครื่องสักการะแด่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เนื่องในวันคล้ายวันเกิด 11 ม.ค. 56

สมเด็จพระพุฒาจารย์ให้พรนายกรัฐมนตรีให้ปฏิบัติงานลุล่วงไปด้วยดีทุกประการตามที่ต้องการ ขออย่าพบข้อขัดข้อง ขอให้มีความก้าวหน้าทั้งในชีวิต และการงาน โดยเฉพาะงานบริหารบ้านเมือง ให้ยึดถือพระศาสนาเป็นที่พึ่ง

วันนี้ (11 ม.ค.56) เวลา 09.45 น. ณ ตำหนักสมเด็จ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร นางสาว      ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถวายเครื่องสักการะแด่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เนื่องในวันคล้ายวันเกิด 11 มกราคม 2556 ครบรอบ 85 พรรษา โดยมีพลตำรวจตรี ธวัช บุญเฟื่อง นายแพทย์ประสิทธิ์  ชัยวิรัตนะ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองร่วมด้วย

เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้กราบพระพุทธรูป และกราบนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวคำถวายเครื่องสักการะความว่า “ขอประทานกราบนมัสการเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ที่เคารพ ดิฉันนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขอถวายเครื่องสักการะอันประกอบด้วยธูปเทียนแพ พานดอกไม้ ผ้าไตร และเครื่องไทยธรรม แด่พระคุณเจ้า เนื่องในวันคล้ายวันเกิด ขอให้พระคุณสมเด็จพุฒาจารย์รับเครื่องสักการะนี้ไว้ด้วย เทอญ” หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ถวายเครื่องราชสักการะตามลำดับ

โอกาสนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้กล่าวให้พรแก่นายกรัฐมนตรีตอนหนึ่งว่า “ขออนุโมทนาท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของเมืองไทยที่เป็นผู้หญิง ขอให้สามารถปฏิบัติงานลุล่วงไปด้วยดีทุกประการตามที่ต้องการ และขออย่าพบข้อขัดข้อง สิ่งใดที่จะเป็นภัยเป็นโทษ ก็ให้หมดสิ้นไป ขอให้มีความก้าวหน้าทั้งในชีวิต และการงาน โดยเฉพาะงานบริหารบ้านเมือง ซึ่งก็ทราบอยู่แล้วว่ามีภาระที่หนักหน่วงที่จะต้องทำ แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านนายกฯ ซึ่งยึดถือพระศาสนาเป็นที่พึ่ง คงจะได้อาศัยพระศาสนาเป็นกำลังสนับสนุนอีกทางหนึ่ง ขอให้ทุกอย่างสำเร็จตามความคิดตามความปรารถนาตราบที่นายกฯต้องการทุกประการ ต้องการสิ่งใดก็ให้สำเร็จตามปรารถนาทุกประการ”

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้สนทนาธรรมกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ว่า ดีใจที่พระคุณเจ้า มีหน้าตาสดใสแข็งแรงขึ้น ขณะที่สมเด็จพระพุฒาจารย์กล่าวว่า ขอให้นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกของประเทศอดทน ซึ่งนายกรัฐมนตรีตอบว่า “คะ เพราะเป็นผู้หญิงก็เลยต้องอดทนเป็นพิเศษ” หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกร่วมกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ ก่อนกราบลากลับ

------------------------------------

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์

นราวุธ รายงาน

ธวัชชัย ถ่ายภาพ


ครม. อนุมัติจัดสรรเงินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555

$
0
0
ครม. อนุมัติจัดสรรเงินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555

ครม. อนุมัติงบประมาณจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์

 

เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 56 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรเงินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 วงเงินรวมทั้งสิ้น 3,426,349,100 บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ เพื่อจัดหาครุภัณฑ์สำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้การบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การวินิจฉัย การบำบัดรักษา ช่วยชีวิตให้มีคุณภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้มารับบริการ โดยอนุมัติการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 4 โครงการ วงเงินรวม 3,273,722,225 บาท จำนวน 3,390 รายการ ได้แก่ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ วงเงิน 747,234,434 บาท จำนวน 894 รายการ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับตติยภูมิ วงเงิน 399,751,178 บาท จำนวน 299 รายการ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับตติยภูมิ ศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์โรคมะเร็ง และเครือข่ายการบาดเจ็บแห่งชาติ วงเงิน 1,111,723,789 บาท จำนวน 471 รายการ โครงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน วงเงิน 1,015,012,824 บาท จำนวน 1,726 รายการ

สำหรับงบประมาณคงเหลือ วงเงิน 152,626,876 บาท จำนวน 87 รายการ นั้นจะนำไปดำเนินการจัดหาครุภัณฑ์ให้กับกรมการแพทย์ วงเงิน 75,000,000 บาท เพื่อดำเนินการพัฒนาโรงพยาบาลให้เป็นศูนย์ความเชี่ยวชาญระดับสูง (Excellent Center) และจัดสรรงบประมาณให้กับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ วงเงิน 60,000,000 บาท เพื่อดำเนินงานตามนโยบาย

นอกจากนี้ จะดำเนินการจัดซื้อ/จัดจ้างใหม่ สำหรับโครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ และโครงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน วงเงิน 17,626,876 บาท เนื่องจากโรงพยาบาลยังขาดแคลนครุภัณฑ์และมีความจำเป็นเพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพในการให้บริการผู้ป่วยต่อไป

******************************

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์

 

นายกรัฐมนตรีพร้อมบุตรชายเยี่ยมชมความพร้อมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 ที่ทำเนียบรัฐบาล

$
0
0

นายกรัฐมนตรีพร้อม“น้องไปป์” บุตรชาย เยี่ยมชมความพร้อมการเตรียมจัดงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยน้องไปป์ได้เชิญชวนให้เพื่อน ๆ และน้องๆ มาเที่ยวชมการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจในงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 ที่ทำเนียบรัฐบาล

 

วันนี้ (11 ม.ค.56) เวลา 15.40 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยเด็กชายศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย เยี่ยมชมความพร้อมการเตรียมจัดงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเยี่ยมชม ซึ่งมีผู้บริหารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีนำเยี่ยมชมความพร้อมและไฮไลท์ที่น่าสนใจในจุดต่าง ๆ

 

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและบุตรชายได้เข้าชมความพร้อมของโซนกิจกรรมต่าง ๆ ภายในตึกสันติไมตรีหลังนอก โถงกลาง หลังใน และห้องสีฟ้า ซึ่งมีไฮไลท์กิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ แนวคิดทางด้านเทคโนโลยี ที่มีการจัดแสดงล่ามภาษามือออนไลน์ โดยศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย (TTRS) แท็บเล็ตสำหรับผู้บกพร่องทางสายตา ล่ามอิเล็กทรอนิกส์ VoiceTra4U-M  ซึ่งมีการจัดกิจกรรม 1. การสนทนาด้วยวิดีโอ (Video Chat) ผ่านศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีกล้องและผ่านตู้คิออส เพื่อให้เด็กและเยาวชนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินได้มีโอกาสรับทราบและสื่อสารกับนายกรัฐมนตรีถึงคำขวัญวันเด็กแห่งชาติในปีนี้ผ่านล่ามที่ประจำอยู่ในศูนย์บริการ 2. กิจกรรมถ่ายภาพที่ระลึกงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 โดยการเชิญนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 4 คน ของโรงเรียนโสตทัศนศึกษาทุ่งมหาเมฆมาจัดกิจกรรมถ่ายภาพพร้อมจัดพิมพ์เป็นโปสการ์ดให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม 3. กิจกรรมแท็บเล็ตสำหรับผู้บกพร่องทางสายตา ที่เปิดโอกาสให้ผู้บกพร่องทางสายตา ได้มีโอกาสสัมผัสและใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์แท็บเล็ตโดยแอพพลิเคชั่น Vaja Android 4. กิจกรรมล่ามอิเล็กทรอนิกส์ ที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้ทดลองใช้แอพพลิเคชั่น VoiceTra4U-M ซึ่งใช้งานในระบบปฏิบัติการ IOS ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและบุตรชายได้เยี่ยมชมความพร้อมของโซนกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่และทดลองอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยความสนใจ

ภายหลังการตรวจเยี่ยมความพร้อมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติที่ทำเนียบฯ  ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ บุตรชายนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเชิญชวนให้เพื่อน ๆ และน้อง ๆ มาเที่ยวชมการจัดกิจกรรมงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งภายในงานจะมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจมากมาย  โดยน้องไปป์จะมีการแสดงมายากลให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ชมด้วย ขณะที่ส่วนตัวน้องไปป์ชื่นชอบบูธกิจกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม ด.ช.ศุภเสกข์ฯ ได้กล่าวว่า ถึงแม้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะทำงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ยังมีเวลาที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันอยู่เป็นประจำ เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน การชมวีดีโอที่บ้านด้วยกัน เป็นต้น ส่วนวันเด็กปีนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือไม่นั้น ด.ช.ศุภเสกข์ฯ กล่าวว่า ไม่อยากได้อะไรเป็นพิเศษ อยากให้คุณแม่ (นายกรัฐมนตรี) มีเวลาให้กับน้องไปป์มากขึ้น แต่ก็ไม่รู้สึกน้อยใจคุณแม่แต่อย่างใดถึงแม้จะไม่ค่อยมีเวลาให้ก็ตาม

พร้อมกันนี้  ด.ช.ศุภเสกข์ฯ ได้กล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อคุณแม่(นายกรัฐมนตรี)ว่า คุณแม่เป็นคนอ่อนโยนและใจดี พร้อมได้ท่องคำขวัญวันเด็กปีนี้ได้แม่นยำว่า “รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน”

ส่วนนายกรัฐมนตรีรู้สึกคุ้นกับคำขวัญวันเด็กปีใดซึ่งออกมาในแต่ละปีนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความจริงส่วนใหญ่ลักษณะคำขวัญวันเด็ก คือ ต้องการให้เด็กเป็นเด็กดี มีความกตัญญู และตั้งใจเรียน ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่เนื้อหาจริง ๆ ก็คือคำว่า “เด็กดี” ที่จะจดจำอยู่ และรักษาวินัย สำหรับคำขวัญที่ออกมาในแต่ละปีส่วนใหญ่จะมาจากสิ่งที่เราได้ติดตามและอยากเห็นในแต่ละปีให้เด็กไทยได้มีอะไรที่เป็นพิเศษมากขึ้นก็จะใช้ตรงนี้มาเชื่อมโยงในเรื่องของคำขวัญ

 

--------------------------------

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

 

รายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน

$
0
0
รายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน

นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กตั้งแต่ก่อนแรกเกิดจนโต เน้นให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กเพื่อให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศ

 

วันนี้ (12 ม.ค. 56) เวลา 8.00 น. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์

 

 

ช่วงที่ 1


พิธีกร : สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่รายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน วันนี้เป็นวันเด็กแห่งชาติ ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เราอยู่กันกับน้อง ๆ ซึ่งจะมีหลากหลายอายุมาพูดคุยกัน รวมถึงท่านนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วย ท่านนายกรัฐมนตรีสวัสดีครับ

 

นายกรัฐมนตรี : สวัสดีค่ะ

 

พิธีกร : ท่านนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วมีการจัดกิจกรรมการเขียนเรียงความถึงนายกรัฐมนตรี “เรื่องดี ๆ ที่หนูอยากเล่า” ในหัวข้อเรื่อง “เด็กไทยใฝ่เรียนรู้” มีการแบ่งเป็น 3 ช่วงอายุ 6 - 8, 9 - 11, 12 - 14 ปี อันนี้เป็นน้อง ๆ กลุ่มแรก

 

นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ น้อง ๆ กลุ่มแรกคืออายุ 6 - 8 ปี

 

พิธีกร : น้อง ๆ เขียนเรียงความอะไรกันมาบ้างครับ

 

นายกรัฐมนตรี : อันนี้เป็นน้อง ๆ ส่วนใหญ่ที่คัดมาแล้ว ที่ได้รางวัล สวัสดีหรือยังคะ หันไปสวัสดีผู้ชมทางบ้านด้วย

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : สวัสดีค่ะ สวัสดีครับ

 

พิธีกร : น้องแอนฟิลด์อยู่ไหน ท่านนายกรัฐมนตรีเด็กชายกฤติน มณีเขียว (น้องแอนฟิลด์) บอกว่าน้องเขาค้นหาความรู้มาจาก You Tube ให้ท่านนายกฯ ดูหน่อยครับ

 

นายกรัฐมนตรี : ให้น้อง ๆ เล่าเองดีกว่า

 

พิธีกร : เห็นว่าน้องน้องแอนฟิลด์รู้จักอาเซียน 10 ประเทศ มีอะไรบ้างครับ

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี (น้องแอนฟิลด์) : เริ่มจากประเทศบรูไนก่อนนะครับ เป็นประเทศเล็กแต่ร่ำรวย ประเทศที่ 2 ประเทศกัมพูชาครับ อุดมไปด้วยทรัพยากร ประเทศที่ 3 ประเทศอินโดนีเซีย มีเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย และยังมีสะพานเชื่อมทวีปเอเชียกับทวีปออสเตรเลีย และสามารถควบคุมการติดต่อมหาสมุทรทั้งสองนี้ด้วยครับ ประเทศมาเลเซีย มีค่าใช้จ่ายน้ำมันสำรองและก๊าซธรรมชาติมาก ประเทศพม่าเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันครับ ประเทศฟิลิปปินส์ มีจุดแข็งทางด้านภาษา ประเทศไทย คนไทยยิ้มเก่งมาก และประเทศเวียดนาม การเมืองค่อนข้างนิ่งครับ

 

พิธีกร : น้องแอนฟิลด์ 7 ขวบเท่านั้นเอง

 

นายกรัฐมนตรี : น้องแอนฟิลด์ เรียนจากที่ไหนครับ

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี (น้องแอนฟิลด์) : จากโรงเรียนสารน์วิเทศนิมิตใหม่ครับ หนูเรียนค้นคว้าเอง

 

พิธีกร : เห็นว่าหนูไปดูใน YouTube

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี (น้องแอนฟิลด์) : หนูค้นมาจาก Google

 

พิธีกร : น้องปุญอยากเป็นอะไรครับ

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี (น้องปุญ) : อยากเป็นวิศวกรช่วยนายหลวงครับ

 

พิธีกร : ตอนนี้กี่ขวบแล้วครับ

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี (น้องปุญ) : 5 ขวบ

 

นายกรัฐมนตรี : มาถามเด็ก ๆ ตรงนี้ดีกว่า ใครช่วยตอบหน่อยว่าเด็ก ๆ ทุกคน ถ้าเราอยากมีวินัยและเราใฝ่เรียนรู้ ทำอย่างไรให้เรามีความรู้และเรียนเก่งบ้างคะ

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : เรียนหนังสือค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : หนูตั้งใจฟังคุณครูหรือเปล่า

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : ฟังค่ะ และต้องใฝ่เรียนรู้

 

นายกรัฐมนตรี : ถ้าใฝ่เรียนรู้แล้วรู้จักประเทศอาเซียนกันหรือเปล่า รู้จักประเทศเพื่อนบ้านไหม

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : รู้จัก

 

พิธีกร : น้อง ๆ อยากบอกอะไรกับท่านนายกรัฐมนตรีบ้าง

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : หนูอยากขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่ให้โอกาสหนูได้มางานนี้คะ

 

นายกรัฐมนตรี : ทำไมถึงอยากมางานนี้

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : เพราะว่าสนุกคะ หนูอยากขอบคุณที่ท่านนายกรัฐมนตรี คัดเลือกหนู

 

นายกรัฐมนตรี : อยากรู้ไหมคะ ว่านายกฯ อยากได้อะไรรู้ไหมคะ อยากให้เด็กๆ ทุกคนเป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณแม่และของคุณครู ทำได้ไหมคะ

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : ทำได้

 

นายกรัฐมนตรี : กลับไปก็ต้องตั้งใจเรียนใช่ไหม

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : ใช่ค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : ใครลองเล่น แท็บเล็ตพีซีแล้วบ้าง เป็นไงคะ ชอบไหม แท็บเล็ตพีซีทำให้เรียนรู้อะไรบ้าง

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : วิชาสังคม วิชาคณิตศาสตร์

 

นายกรัฐมนตรี : ชอบเข้าไปดูวิชาไหนมากที่สุด

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : วิชาคณิตศาสตร์

 

เด็กช่วงอายุ 6-8 ปี : เราต้องขยันเรียนและหนูอยากบอกด้วยว่าเด็กไทยไม่จำเป็นต้องสอบได้ที่ 1 ที่สำคัญคือการขยันเรียนไม่บ่นคะ

 

นายกรัฐมนตรี : การที่หนูเรียนเราต้องใจตั้งใจเรียน ถ้าตั้งใจเรียนแล้วถึงแม้ไม่ได้ที่ 1 แต่เราก็มีส่วนอื่น ๆ ที่เราเก่งใช่ไหมคะ ให้ตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อ คุณแม่จะได้ภูมิใจ และจะได้พาไปเที่ยวพัทยาด้วย

 

พิธีกร : ขอบคุณน้อง ๆ มาก อันนี้เป็นกลุ่มแรก เดี๋ยวเรามีอีก 2 กลุ่ม ที่จะมาคุยกันต่อ

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี

 

 

พิธีกร : ท่านนายกฯ ครับ นี่เป็นอีกกลุ่มหนึ่งเป็นน้องที่วัย 9-11 ปี น้องอภิรัตนฯ มาจากไหนครับ

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี (น้องอภิรัตนฯ )  : มาจากจังหวัดเชียงรายครับ

 

พิธีกร : เขียนเรียงความเรื่องอะไรบ้างครับ

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี (น้องอภิรัตนฯ )  : เขียนเรื่องการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ในชีวิตประจำวันของผมครับ

 

พิธีกร : เล่าให้ท่านนายกฯ ฟังหน่อยสิครับว่า

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี (น้องอภิรัตนฯ )  : ใช้หลักอิทธิบาท 4 คือ 1. ฉันทะ คือ ความพอใจ ใฝ่รัก ใฝ่หาความรู้และใฝ่สร้างสรรค์

2. วิริยะ คือ ความเพียรพยายามมีความอดทนไม่ท้อถอย 3. จิตตะ คือความเอาใจใส่และตั้งใจแน่วแน่ในการทำงาน 4. วิมังสา คือความหมั่นใช้ปัญญาและสติในการตรวจตราและคิดไตร่ตรอง

 

นายกรัฐมนตรี : แล้วนำไปใช้อย่างไรบ้างคะ

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี (น้องอภิรัตนฯ )  : ใช้ที่โรงเรียนและที่บ้าน

 

นายกรัฐมนตรี : วันเด็กอยากได้อะไร

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี (น้องอภิรัตนฯ )  : วันเด็กผมไม่อยากได้อะไร ได้มาที่นี่ก็พอแล้วครับ

 

พิธีกร : น้อง ๆ วันเด็กปีนี้อยากได้อะไรบ้าง อยากบอกอะไรท่านนายกฯ บ้างครับ

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : อยากบอกว่าหนูรักท่านนายกฯ คะ และสิ่งที่หนูอยากจะได้คืออยากเจอพี่ พี่หายไป

 

นายกรัฐมนตรี : พี่หายไปเหรอคะ พี่หนูอยู่ไหน หนูอยู่จังหวัดไหนคะ เดี๋ยวจะหาข้อมูลแล้วช่วยหาพี่หนูนะคะลูก และตอนนี้หนูอยู่กับใครคะ

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : อยู่กับพ่อและแม่

 

นายกรัฐมนตรี : คิดถึงพี่ใช่ไหม พี่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง พี่หายไปนานหรือยัง

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2555

 

นายกรัฐมนตรี : แล้วหนูไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือยัง

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : บอกแล้ว

 

นายกรัฐมนตรี : เดี๋ยวขอข้อมูล ช่วยหาให้นะคะ พี่จะได้กลับมาหาหนูนะคะ หนูต้องอดทน คนเก่งนะคะ

 

พิธีกร : มีใครอยากบอกท่านนายกรัฐมนตรีอีก

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : หนูอยากบอกว่าหนูรักท่านนายกฯ ค่ะ หนูอยากให้ประเทศไทยเรามีความสุขค่ะ หนูต้องขอขอบคุณท่านนายกฯ ที่ให้โอกาสหนูด้วยค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : นายกฯ ก็อยากบอกว่านายกฯ ก็รักหนูทุกคนนะคะ และเราก็อยากเห็นประเทศไทยของเรามีความสุขใช่ไหม เราต้องช่วยกันนะ

 

พิธีกร : อยากบอกอะไรท่านนายกฯ บ้างครับ

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : อยากบอกว่าหนูรักท่านนายกฯ มากคะ

 

พิธีกร : โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรครับ

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : อยากเป็นพยาบาลคะ

 

พิธีกร : เรียนหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : ตั้งใจเรียน

 

นายกรัฐมนตรี : ทำไมอยากเป็นพยาบาลคะ พยาบาลช่วยเหลือคนป่วยหรือเปล่า

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : ค่ะ

 

พิธีกร : ใครอยากบอกอะไรท่านนายกฯ บ้าง

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : เพื่อนที่โรงเรียนอยากขอลายเซ็นครับ

 

นายกรัฐมนตรี : ได้ครับ เดี๋ยวส่งไปให้ครับ

 

พิธีกร : ตรงนี้อีกคนหนึ่ง อยากบอกอะไรท่านนายกฯ บ้าง

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : หนูอยากบอกท่านนายกฯ ว่าหนูรักท่านนายกฯ และของขวัญในวันเด็กคือหนูขอให้ได้มาที่นี่แล้วกัน ของขวัญหนูไม่อยากได้อะไร แค่หนูได้เจอท่านนายกฯ ตัวจริงแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : อย่างหนึ่งผมคิดถึงท่านทักษิณ ชินวัตร อยากให้ท่านกลับมาเร็ว ๆ และขอให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์แก้รัฐธรรมนูญใหม่ด้วยนะครับ คอยฟังข่าวอยู่ตลอด

 

นายกรัฐมนตรี : เก่งมาก แล้วรู้เรื่องหรือเปล่า

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : รู้เรื่องครับ ทหารเขาปฏิวัติตั้งแต่ปี 2549 ประมาณนั้นครับ อยากให้แก้รัฐธรรมนูญเร็ว ๆ

 

นายกรัฐมนตรี : จะทำให้นะครับ

 

พิธีกร : ติดตามข่าวสารบ้านเมืองดีมาก มางานวันเด็กปีนี้อยากไปเที่ยวที่ไหนบ้าง

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : ผมอยากไปเที่ยวเชียงรายครับ

 

พิธีกร : เชียงรายมีอะไรบ้าง อยากไปดูอะไร

 

เด็กช่วงอายุ 9-11 ปี : ไปดูดอกไม้

 

พิธีกร : อยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเด็กครับ

 

เด็กช่วงอายุ 9 – 11 ปี : ไม่อยากได้อะไรมากค่ะ แค่ได้พบนายกรัฐมนตรีก็พอแล้ว เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : จริงหรือเปล่า ตื่นเต้นไหมคะ

 

เด็กช่วงอายุ 9 – 11 ปี : จริงค่ะ ตื่นเต้น ดีใจมากค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : จริง ๆ แล้วนายกรัฐมนตรีก็อยากเจอพวกหนู ๆ จริง ๆ แล้วอยากไปหาเด็ก ๆ ทุกคนเลย ยังมีอีกหลายที่ที่ยังไม่มีโอกาสลงไปหาน้อง ๆ เลย ขอฝากส่งความระลึกถึง เมื่อเด็ก ๆ กลับไปก็มีหน้าที่ดูแลคุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็เชื่อฟังคุณครูนะคะ

 

พิธีกร : ขอบคุณน้อง ๆ กลุ่มนี้มากเลยครับ

 

พิธีกร : ท่านนายกรัฐมนตรีครับ นี่เป็นกลุ่มสุดท้าย เป็นเด็กโตขึ้นมานิดหนึ่ง กลุ่มเด็กอายุ 12 – 14 ปี ที่เขียนเรียงความเข้ามา มาจากไหนกันบ้างครับ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : จังหวัดสตูลค่ะ

 

พิธีกร : มาจากจังหวัดสตูลและจากหลาย ๆ ที่นะครับ คนไหนชื่อน้อง รูวัยดาครับ อยู่ไหนครับ หัวข้อที่น้องเขียนว่าเด็กไทยใฝ่เรียน น้องรูวัยดาคิดว่าเด็กไทยควรใฝ่เรียนรู้อย่างไรบ้าง

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ต้องขยันเรียนหนังสือและสามารถหาความรู้ได้จากอินเตอร์เน็ตค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : นอกจากนั้นมีที่ไหนอีกคะ คุยกับผู้ใหญ่ได้ไหม

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : คุยกับผู้ใหญ่และเพื่อน ๆ ค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : น้อง ๆ ช่วยคิดหน่อยว่าเราจะมีวิธีทำอย่างไร ให้เด็กไทยเราเป็นเด็กที่ใฝ่เรียนรู้ และไปหาความรู้ที่ไหนอีกนอกจากห้องเรียนค่ะ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ห้องสมุดประชาชน

 

นายกรัฐมนตรี : แล้วมีที่ไหนอีกค่ะ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : โทรทัศน์ครับ

 

นายกรัฐมนตรี : โทรทัศน์ ใช่ค่ะ ติดตามข่าวสาร อ่านหนังสือพิมพ์ไหมคะ มีที่ไหนอีกบ้าง แล้วอาเซียนเป็นอย่างไรบ้าง คุณครูได้สอนไหมคะ ทำไมเราต้องรู้จักอาเซียนคะ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : เพราะเขาจะมารวมกับประเทศไทยในอีก 3 ปี ข้างหน้าค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ เราต้องรู้จักประเทศเพื่อนบ้านใช่ไหม สิ่งที่จะทำให้เรารู้จักประเทศเพื่อนบ้านคืออะไรคะ ต้องเรียนภาษาอะไร

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ภาษาอังกฤษ

 

นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ แล้วคุณครูเริ่มสอนหรือยัง

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : สอนแล้วค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : สอนแล้วใช่ไหมค่ะ ดีใจค่ะ แล้วก็อยากถามว่าในวันเด็กอยากได้อะไรในวันเด็กบ้าง

 

พิธีกร : อยากได้อะไรในวันเด็กครับ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากให้คนไทยรักกันค่ะ

 

พิธีกร : อยากให้คนไทยรักกัน แล้วน้องหล่ะครับวันเด็กอยากได้อะไร

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากให้ทุกคนสามัคคีกันและช่วยเหลือกันค่ะ

 

พิธีกร : น้องหล่ะครับ วันเด็กอยากได้อะไร

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากให้คนไทยมีความสามัคคีมากขึ้น

 

พิธีกร : อยากให้คนไทยมีความสามัคคีมากขึ้นนะครับ แล้วโรงเรียนของน้อง ๆ ล่ะครับ อยากฝากอะไรถึงท่านนายกรัฐมนตรีไหมครับ อยากให้ปรับปรุงอะไรที่โรงเรียนของน้อง ๆ ไหม ให้การศึกษาดีขึ้นหรือว่ามีที่เล่นมากขึ้น

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ก็อยากให้ดูแลเรื่องหนังสือค่ะ

 

พิธีกร : ดูแลเรื่องหนังสืออย่างไรครับ

 

นายกรัฐมนตรี : หนังสือเป็นอย่างไรค่ะ หนังสือไม่พอหรือค่ะ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ใช่ค่ะ เป็นบางโรงเรียนค่ะ ไม่ได้หมายถึงโรงเรียนหนูค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : หมายถึงหนังสืออ่านนอกเวลา หนังสืออ่านประกอบใช่ไหมค่ะ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ใช่ค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : ได้ค่ะ เพราะวันนี้เราอยากให้เด็กไทยอ่านหนังสือให้มาก ๆ เพราะว่าจะได้เก่ง ๆ เดี๋ยวนี้คนอื่นเขาอ่านหนังสือมากขึ้น

 

พิธีกร : เรื่องเทคโนโลยี ใครใช้อินเตอร์เน็ตเก่งบ้างครับ ใครใช้บ้าง ใช้ทำอะไร

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ใช้ในการหาความรู้ จาก Google หรือที่คนอื่นโพสต์ไว้ใน Facebook

 

นายกรัฐมนตรี : แล้วเล่นเกมส์ออนไลน์ไหม

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : เล่นครับ

 

นายกรัฐมนตรี : เล่นแล้วอย่าเล่นนานนะ ไปหาความรู้ดีกว่า

 

พิธีกร : ได้มีโอกาสมาที่นี่ เจอท่านนายกรัฐมนตรีแบบนี้ อยากบอกอะไรกับท่านนายกรัฐมนตรีบ้างในวันเด็ก

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากบอกว่าท่านนายกรัฐมนตรีเก่งมาก เพราะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ปกครอง ได้เป็นรัฐบาลในยุคนี้ ท่านเก่งมากค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : ขอบคุณค่ะ

 

พิธีกร : มีใครอยากบอกอะไรอีกไหม

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีส่งเสริมเด็กไทยให้ใฝ่เรียนรู้มากขึ้นค่ะ

 

พิธีกร : แล้วสิ่งที่น้อง ๆ อยากได้ในวันเด็กปีนี้ ลองบอกท่านนายกรัฐมนตรีหน่อยว่าอยากได้อะไร น้องตัวเล็กที่สุดก่อนเลย

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากได้ตุ๊กตา

 

พิธีกร : ตุ๊กตาอะไรครับ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ตุ๊กตาหมีครับ

 

พิธีกร : น้องครับอยากได้อะไรในวันเด็กครับ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากได้หนังสืออะไรก็ได้ที่มีความรู้มาก ๆ ครับ

 

พิธีกร : พอเลิกจากโรงเรียนไปแล้ว กลับไปบ้านอ่านหนังสือหรือว่าไปเล่นสนุกกัน

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : เลิกเรียนแล้วก็เล่นกันสักพักแล้วก็กลับบ้านไปอ่านหนังสือครับ

 

พิธีกร : หลังเลิกเรียนน้อง ๆ ทำอะไรกันบ้างครับ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : หลังจากเลิกเรียนแล้ว ในทุก ๆ วันโรงเรียนของหนูก็จะมีการบ้าน เพื่อให้นักเรียนกลับมานั่งฝึกฝนกันที่บ้าน หลังจากเลิกเรียนเราก็ได้ความรู้จากที่เรียนพิเศษมามากแล้ว ก็กลับมาพักผ่อนก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย วันละ 2 – 3 ชั่วโมงค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : แล้วตอนนี้หลังเลิกเรียนการบ้านเยอะไหมค่ะ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ช่วงนี้มีการสอบค่ะ ก็เลยให้นักเรียนทบทวนหนังสือ

 

นายกรัฐมนตรี : แล้วมีเวลาไปออกกำลังกาย ไปช่วยช่วยคุณพ่อ คุณแม่ทำงานบ้างไหม

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ก็มีค่ะ หลังจากเลิกเรียนหนูก็ออกกำลังกายช่วยงานบ้านก่อน หลังจากนั้นก็ไปเรียนพิเศษค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : มีใครอยากจะบอกอะไรอีกไหมคะ เรื่องอะไรก็ได้

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : หนูอยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีไปเที่ยวจังหวัดนครพนมของหนู ไปชมสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แล้วก็ไปไหว้พระธาตุพนมค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : ได้ค่ะ วันหลังจะแวะไปนะคะ อยากไปทุกที่เลย

 

พิธีกร : มีใครอยากจะบอกอะไรท่านนายกรัฐมนตรีอีกไหมครับ น้องอีกคนหนึ่งบอกอะไรท่านนายกรัฐมนตรีบ้างครับ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : อยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีไปที่จังหวัดของผมครับ

 

พิธีกร : จังหวัดอะไรครับ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : จังหวัดสตูลครับ โรงเรียนของผมคือโรงเรียนอนุบาลสตูลครับ

 

พิธีกร : ที่โรงเรียนมีอะไรน่าสนใจบ้าง

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : มีหลักสูตรมาตรฐานสากล ที่ให้เด็ก ๆ เรียนรู้กันเองครับ ไม่มีหนังสือครับ

 

พิธีกร : แล้วเรียนกันอย่างไรครับ ไม่มีหนังสือเรียน

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ก็เดาเองเลยครับ ใช้กระบวนการตัดสินใจทุกขั้นตอนครับ

 

นายกรัฐมนตรี : ได้ค่ะ เดี๋ยววันหลังจะส่งหนังสือไปให้ ถ้าอยากได้หนังสือไปอ่านนะคะ

 

พิธีกร : เห็นว่าในตรงนี้จะมีคนมอบของขวัญให้ท่านนายกรัฐมนตรีด้วย ใครครับ เป็นอะไรครับ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : เป็นภาพวาดแล้วก็ระบายสีค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : หนูวาดเองใช่ไหม ใช้เวลาวาดนานไหมค่ะ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : ต้องรีบวาดค่ะ อาจจะไม่สวยเท่าไหร่ ใช้เวลาประมาณ 1 วันค่ะ

 

พิธีกร : เขียนอะไรในนั้นบ้าง

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : เป็นกลอนค่ะ

 

นายกรัฐมนตรี : ค่ะ แล้วที่สำคัญคือคุณค่าทางใจที่หนูช่วยกันค่ะ ขอบคุณมาก ก็ดีใจที่หนู ๆ ทุกคนมา แล้วก็ได้มีโอกาสได้เจอ เพราะบางครั้งเราไม่มีโอกาสได้เดินทางไปหาได้ทุกที่ แต่อย่างน้อยอยากรู้ว่านายกรัฐมนตรีรักเด็กทุกคนค่ะ แล้วขอฝากส่งกำลังใจให้น้อง ๆ ทุกคนด้วย

 

พิธีกร : เห็นว่าน้อง ๆ จะร้องเพลงให้ท่านนายกรัฐมนตรีฟังด้วย เพลงอะไรครับ

 

เด็กช่วงอายุ 12 – 14 ปี : หน้าที่เด็กดี

 

เพลง..หน้าที่เด็ก

เด็กเอ๋ย..เด็กดี ต้องมีหน้าที่ ๑๐ อย่างด้วยกัน เด็กเอ๋ย..เด็กดี ต้องมีหน้าที่ ๑๐ อย่างด้วยกัน หนึ่ง...นับถือศาสนา สอง...รักษาธรรมเนียมมั่น สาม...เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ สี่...วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน ห้า...ยึดมั่นกตัญญู หก...เป็นผู้รู้รักการงาน เจ็ด...ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ต้องมานะบากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน แปด...รู้จักออมประหยัด เก้า...ต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ ให้เหมาะกับกาล สมัยชาติพัฒนา สิบ...บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ รู้บาปบุญคุณโทษ สมบัติชาติต้องรักษา เด็กสมัยชาติพัฒนา จะเป็นเด็กที่พา ชาติไทยเจริญ

 

พิธีกร  : ขอบคุณมากครับ

 

 

ช่วงที่ 2


พิธีกร : กลับเข้าสู่อีกช่วงหนึ่งของ รายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชนครับ ท่านนายกรัฐมนตรีครับ เมื่อสักครู่ท่านนายกรัฐมนตรีได้เห็นน้อง ๆ 3 ช่วงอายุแล้ว เห็นพัฒนาการเด็กไทยเป็นอย่างไรบ้างครับ

 

นายกรัฐมนตรี : ก็ถือว่าวิวัฒนาการเด็กไทยนั้นเริ่มมีความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นมากขึ้น จากที่ได้เห็นน้อง ๆ หลายคน สามารถที่จะเรียนรู้แล้วก็ค้นคว้า ดิฉันมองว่าสิ่งที่เด็กไทยวันนี้เริ่มรู้จักที่จะหาความรู้เพื่อเป็นตัวเสริม นอกเหนือจากห้องเรียน นี่ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี

 

พิธีกร : ดูเหมือนว่าเด็กไทยเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น

 

นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ

 

พิธีกร : คือให้ความสำคัญว่าเทคโนโลยีมีบทบาทในการเรียนรู้

 

นายกรัฐมนตรี : แล้วที่สำคัญเราต้องสอนเด็กในเรื่องการค้นคว้าเทคโนโลยี แล้วนำเอาสิ่งที่ดีมาใช้ เพราะบางครั้งก็อาจไปในทางที่ผิดได้ ซึ่งตรงนี้มันก็จะมีทั้งข้อดี ข้อเสีย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเริ่มสอนในหลักการค้นคว้าว่าเราควรจะนำเอาความรู้อย่างไร แล้วก็ต้องมีข้อจำกัดของเวลา หรือการเรียนรู้ อย่างเช่นไปเล่นเกมส์นานเกินไป ก็จะมีปัญหาตรงนี้ ก็ต้องฝากด้านของคุณครูและผู้ปกครองให้ช่วยเสริมเด็กในส่วนนี้ด้วย

 

พิธีกร : ก็คืออยู่ในคำขวัญที่ท่านนายกรัฐมนตรีให้ไว้ ก็คือ “รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน” ซึ่งน้อง ๆ หลายคนรู้จักอาเซียน

 

นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ เป็นอะไรที่ Surprise (ประหลาดใจ) มาก น่ารักมาก สามารถที่จะจำได้หมดเลย

 

พิธีกร : ถ้าเราย้อนกลับมาดูความพยายามของรัฐบาลในการที่จะดูแลน้อง ๆ ตั้งแต่แรกเกิดจนจบการศึกษา รัฐบาลจะมีการดูแลอย่างไรบ้าง

 

นายกรัฐมนตรี : ต้องเรียนว่าเด็กไทยวันนี้ เป็นกำลังสำคัญของประเทศ และในอีกไม่นานเราก็จะก้าวสู่สังคมของผู้สูงอายุ ดังนั้นการที่ส่งเสริมให้เด็กไทยมีความรู้ความสามารถ เรียกว่าเป็นความสำคัญเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องทำงานควบคู่กับกระทรวงศึกษาธิการ สิ่งที่ดิฉันมองอย่างแรก คือกลับไปดูในเรื่องของปัญหาของเด็กไทยในภาพรวมก่อนว่า ปัญหาในภาพรวมที่เราเห็นในวันนี้ก็คือว่า เรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาเป็นจำนวนมาก ก็จะเห็นว่าสิ่งที่ออกมาก็สะท้อนในเรื่องของเด็กในการเรียนรู้ต่าง ๆ อาจจะเรียนด้านเทคโนโลยีมาก แต่ขณะเดียวกันในด้านของคุณธรรม วัฒนธรรม หรือเรียกว่า Soft Side หรือด้านความเป็นมนุษย์ การเอื้ออาทรต่อกัน อันนี้ก็คงต้องเสริมไปด้วย แล้วก็เด็กไทยเองวันนี้ สิ่งที่เราเห็นก็เรื่องของความสำคัญของ พ่อ แม่ ตั้งแต่แรกเกิด การขาดการเรียนเรื่องของสารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ตั้งแต่แรกเกิด ตรงนี้ในส่วนของรัฐบาลเอง เรามองการดูแลพัฒนาเด็กตั้งแต่ช่วงครรภ์มารดา ไปแต่ละช่วงอายุ เพราะถ้าถามว่าทำไมเราต้องอย่างนี้ เพราะเราเริ่มกลับมามองตรงนี้ เราจะได้เข้าใจเด็กในแต่ละช่วง เพราะว่าความต้องการในแต่ละวัยนั้น มีความต่างกัน ไม่เหมือนกันเลย ถ้าเราทำความเข้าใจแล้วเราก็กลับไปดูว่ากระบวนการในการทำความเข้าใจ ทุก ๆ วัยนั้น สิ่งที่ดิฉันมองหรือรัฐบาลมองเราคงต้องร่วมกัน ตั้งแต่การเสริมด้าน IQ ก็คือ ความรู้ที่เด็กต้องเรียนให้เก่ง เพราะฉะนั้นที่จะเรียนเก่งก็ต้องเสริมทั้งความรู้ในห้องเรียน นอกห้องเรียนก็จะเห็นว่านโยบายของรัฐบาลที่เราพยายามนำเอาแท็บเล็ตพีซี มาให้เด็กประถมศึกษาปีที่ 1 ใช้ เพราะว่าเพื่อจะดึงจุดสนใจในการเรียนการสอนให้เด็กนั้นกล้าใช้เทคโนโลยีมาเรียนรู้ให้มากขึ้น และตัวที่สอง EQ ก็คือ ความรู้วุฒิภาวะทางอารมณ์ ซึ่งอารมณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าถ้าเด็กเรียนเก่งอย่างเดียว แต่ในแง่ของอารมณ์ไม่สามารถเข้ากับเพื่อนได้ เขาก็จะอยู่ในสังคมไม่ได้ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งดิฉันก็มองว่า นอกเหนือจาก IQ และ EQ แล้ว หลาย ๆ ท่านก็จะมีมากกว่านั้น เช่น AQ แต่สิ่งที่ดิฉันมองอีกตัวหนึ่งก็คือ attitude ก็คือทัศนคติ ที่เราคงจะต้องลงมาดูแลควบคู่กันไป เพราะวันนี้สังคมไทยของเรามีสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงมากมาย เราก็อยากเห็นเยาวชนไทยนั้นมองเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม ความกตัญญูกตเวทิตา ต่อบรรพบุรุษ ต่อคุณพ่อ คุณแม่ คุณครู ผู้ที่มีพระคุณต่อเรา รวมถึงการที่เราจะใช้หลักในเรื่องของคุณธรรมประจำใจที่จะได้เข้าใจ รู้จักคนอื่นมากขึ้น อันนี้ก็คงจะเป็นสิ่งคิดว่าเราควรจะกลับเข้ามาพูดคุยในตรงนี้มากขึ้น ให้เด็กเข้าใจแก่นแท้ อันนี้เป็นสิ่งรัฐบาลพยายามจะมอง เราเองก็เลยนำเอาความคิดต่าง ๆ เหล่านี้ได้มาหารือกัน ก็ได้มีการพูดคุยกับผู้ที่มีความรู้และผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการการศึกษา ทั้งด้านของภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งในสายของอาชีวะ สายสามัญ ที่พูดคุยกันว่าวันนี้เราน่าจะถึงเวลาแล้วในการที่มาคุยกันในการพัฒนาวงการการศึกษาไทย ซึ่งการพัฒนาวงการการศึกษาไทยนั้น ก็คงต้องมองตั้งแต่การพัฒนาตัวเด็กแน่นอน อย่างที่เรียนว่าใช้หลักการพัฒนาตามช่วงอายุ อันที่สองก็คือครู ซึ่งครูก็เป็นบุคคลที่มีความสำคัญ จะทำอย่างไรแทนที่จะมาทำงานบริหาร งานที่ต้องดูแลอย่างอื่นมากขึ้น ไปใช้เวลากับนักเรียนมากขึ้น และวิธีการเรียนการสอน ที่จะทำให้ครูนำสื่อต่าง ๆ เข้าถึงเด็ก แทนที่เราจะต้องมาป้อนข้อมูล แต่ทำอย่างไรให้เด็กคิดและดึงศักยภาพของเด็กออกมา แล้วก็อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเรียนการสอน วันนี้จะเห็นว่าหลายโรงเรียนก็อาจจะขาดเรื่องหนังสือนอกเวลา หรือว่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่จะค้นคว้าต่าง ๆ รวมถึงบรรยากาศที่โรงเรียนและชุมชน สภาพแวดล้อมก็คงต้องเอื้ออำนวยด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องมาพูดคุยกัน แล้วก็เป็นสิ่งที่ต้องทำในระยะยาว เพื่อสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาให้กับเด็กไทย

 

พิธีกร : ฟังดูแล้วที่ท่านนายกฯ พูดคือการพัฒนาการของเด็กจะไม่ได้เกี่ยวกับตัวเด็กอย่างเดียว แต่ว่าสิ่งที่อยู่แวดล้อมเกี่ยวกับตัวเด็กทั้งคุณครู ครอบครัว เข้าไปเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเหล่านั้นด้วย คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเข้าใจลูกว่าสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร คุณครูเองก็ต้องเข้าใจว่ามีวิธีพัฒนาเด็กเป็นอย่างไร ซึ่งตรงนี้รัฐบาลมีแนวทางอย่างไรในการที่จะพัฒนาทั้งครูหรือคุณพ่อคุณแม่ให้เข้าใจเด็ก ๆ ด้วย

 

นายกรัฐมนตรี : จริง ๆ แล้วก็ต้องเริ่มตั้งแต่อย่างที่เรียนว่าของครูนั้น เราคงคุยกันเริ่มตั้งแต่ภาครัฐก่อนที่จะพูดคุยกันว่าจะเพิ่มศักยภาพของครูอย่างไร และเราจะทำให้ครูเข้าใจในการที่จะดึงศักยภาพของเด็กมาเพราะเราเชื่อว่าเด็กทุกคนถ้าเราได้ดึงศักยภาพของเขามาใช้อย่างเต็มที่อย่างเช่น การมีส่วนร่วมในการเรียนให้มีโอกาสได้แสดงออกมากขึ้น เราก็จะได้รู้ว่าเด็กเก่งอย่างไร มีเวทีใดที่เขาจะได้แสดงออกอย่างถูกวิธี อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะเสริม แต่แน่นอนเสริมอย่างไรก็ตามก็ต้องทำงานคู่กับภาคเอกชน ซึ่งวันนี้ภาคเอกชนไปไกลหลาย ๆ ที่ จะเห็นว่าโรงเรียนต่าง ๆ มีความแข็งแรงมาก อันนี้คือสิ่งที่เราคงจะทำงานร่วมกัน แต่เด็กเองนั้นสิ่งที่ดิฉันเรียนว่าเราอยากจะกลับมาเน้นในภาคของการคิดในการปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้อง อันนี้จะเป็นจุดที่เราจะอยู่ได้ระยะยาวแทนที่เราจะใช้วิธีเน้นกฎกติกามาบังคับ แต่ขณะเดียวกันโลกและเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็ได้เคลื่อนตัวไปมากแล้ว ดังนั้นเราต้องฝึกให้เด็กได้เข้าใจหลักแก่นแท้และหลักในการคิดก่อน

 

พิธีกร : ดังนั้นหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคมที่มีบทบาทในการปลูกฝังเด็กก็คือครอบครัว เพราะฉะนั้นครอบครัวต้องมีความเข้มแข็ง แข็งแรงในการที่จะดูแลเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ

 

นายกรัฐมนตรี : อันนี้เป็นพื้นฐานที่ถูกต้อง แต่ว่าเราก็เข้าใจปัญหาสังคมไทยวันนี้คือภาระของคุณพ่อ คุณแม่ก็มีมากบางครั้งอาจจะไม่มีเวลา แต่สิ่งที่เราจะต้องช่วยคือต้องช่วยกันบูรณาการความแข็งแรงนี้ภายใต้พื้นฐานของครอบครัวบวกกับครู ถ้าสมมุติครอบครัวติดภาระต่าง ๆ ครูก็จะเข้ามาเสริมในส่วนนี้ เราก็มองว่าครูนอกจากจะเป็นครูผู้สอนที่ดึงศักยภาพของเด็กแล้ว นอกเหนือจากนั้นครูควรจะเป็นเหมือนกับผู้ปกครองอีกคนหนึ่ง เป็นที่พึ่งของเด็กที่สามารถพูดกับครูได้ทุกเรื่อง

 

พิธีกร : เพราะบางทีเด็กอยู่กับครูทั้งวันมากกว่าอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน

 

นายกรัฐมนตรี : ถูกต้องค่ะ ฉะนั้นตรงนี้ครูก็ต้องทำงานควบคู่กันไป แล้วถ้าครูมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ก็จะได้ช่วยกันแก้ปัญหาให้แก่เด็กและเยาวชนได้

 

พิธีกร : อย่างปีนี้ท่านนายกฯ มีคำถามจากสภานักเรียน ถามว่าเนื้อหาสาระของหลักสูตรของบ้านเราไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา อาจจะดูไปแล้วเก่าดูไม่ทันสมัยต้องมีการปรับปรุงด้วยไหมครับ

 

นายกรัฐมนตรี : ในข้อเท็จจริงทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการปรับปรุงอยู่เป็นระยะ แต่ว่าดิฉันเองมองว่าเราอาจจะต้องมานั่งดูทั้งระบบว่าเนื้อหา วิธีการเรียนการสอน อย่างเรื่องของวิทยาศาสตร์เราก็ขาดมากในเรื่องของอุปกรณ์แล็บ เครื่องมือที่จะให้เด็กทดลอง และบางครั้งการที่จะต้องใช้เวลาในการทดลองนอกห้องเรียนบ้าง ซึ่งตรงนี้ที่ได้มีการพูดคุยกันและจะได้นำประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้มาศึกษาและมาคิดว่าเราจะแก้ปัญหากันอย่างไร ซึ่งเราอาจจะแบ่งการแก้ปัญหาเป็น 2 ส่วนคือว่า อะไรที่เราจะสามารถแก้ไขได้เลยทันทีระยะสั้นก็คงทำ และบางส่วนก็จะมีในเรื่องกฎกติกาหรือระเบียบต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ทำและแก้ไป

พิธีกร : อย่างเช่นล่าสุดที่รัฐมนตรีพงศ์เทพฯ ได้ประกาศเรื่องของการผ่อนปรนเรื่องการตัดผม ทรงผม ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มหนึ่งที่จะเป็นการทำให้เด็กนั้นอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เพราะว่าท่านนายกฯ บอกแต่ตอนต้นว่าโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กฎกติกาบางอย่างอาจจะดูล้าสมัยไปแล้ว รัฐบาลก็จะต้องไปมองดูเช่นกัน

 

นายกรัฐมนตรี : เช่นกันค่ะ อันนี้ก็จะเรียกว่าในแง่ของจิตใจมากกว่า ในแง่ของความสบายใจของเด็กนักเรียนเพราะบางทีจริง ๆ แล้วระเบียบ กติกาต่าง ๆ ดิฉันเองก็มองว่าเราก็อยากให้เห็นว่าเวลาต่าง ๆ เปลี่ยนไปแล้ว ในแง่ของสังคมก็เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ได้หมายความจะไม่มีกติกา เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็คือเรียกว่าความสมดุลที่ทางกระทรวงศึกษาธิการต้องพิจารณาให้กับเด็กอย่างเรื่องทรงผม เราเข้าใจในส่วนของเด็กว่าเวลาที่จะไปไหนบางครั้งในช่วงวัยรุ่นเขาก็อยากจะมีความภาคภูมิใจในทรงผมต่าง ๆ แต่แน่นอนเราก็คงจะไม่สามารถไปได้ตามทรงผมที่เป็นที่นิยม อาจจะกลับมาว่าทรงผมไหนเป็นทรงผมที่สุภาพ แต่ก็อาจจะให้มีความคล่องตัวให้กับเด็กบ้างเด็กก็จะมีความรู้สึกที่ดี อันนี้ก็ส่วนหนึ่งที่กระทรวงศึกษาธิการก็คงอยากจะนำมาพิจาณาตรงนี้ให้เป็นของขวัญสำหรับวันเด็กด้วย

 

พิธีกร : แต่ว่าอีกปัญหาหนึ่งที่น้อง ๆ สะท้อนมาจากสภานักเรียนคือเรื่องของปัญหายาเสพติด ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะไปแก้ไขหรือว่ารณรงค์ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

 

นายกรัฐมนตรี : อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นปัญหาทางด้านสังคมที่เราเป็นห่วง เรื่องยาเสพติดเราก็ใช้โครงการในการที่จะบูรณาการเรื่องของยาเสพติด การแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ถือว่าเป็นวาระของชาติ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการก็เป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ทำงานในฐานะที่จะเป็นครูที่จะมองเรื่องของเด็ก แต่แน่นอนการที่มองหาเด็กผู้ที่เป็นผู้เสพนั้นก็คงต้องกลับไปดูตั้งแต่เรื่องของสาเหตุมากกว่าว่าสาเหตุคืออะไร หรือแม้กระทั่งว่าวันนี้เราได้เห็นตัวเลขเด็กไทยที่ท้องก่อนวัยอันควร ซึ่งตรงนี้เองเราก็ไม่อยากมองแค่ว่าการที่จะอยากลดแค่ปริมาณปลายทาง แต่ต้องกลับไปดูตั้งแต่ต้นทางว่าทำอย่างไรจะให้เด็กนั้นได้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้องและเด็กจะมีวิธีการในการป้องกันตัวเองได้อย่างไร และปัญหาสังคมที่เริ่มต้นเราจะร่วมกันแก้ไขอย่างไร นี่คือสิ่งที่ดิฉันเรียนว่าการที่เราบอกว่าเรามี IQ และ EQ อย่างเดียวก็เชื่อว่าในอนาคตคงไม่เพียงพอคงต้องดูในส่วนอื่นด้วย ตรงนี้ก็จะทำควบคู่กันไป เพราะว่าเทคโนโลยีเข้ามามาก บางทีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ทำให้คนอาจจะมีความคิดหลากหลาย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องกลับย้อนสู่เรียกว่ากลับเข้าสู่ back to basic (กลับไปพื้นฐาน) บ้าง

 

พิธีกร : คือเอาตัวเด็กเป็นศูนย์กลางด้วย

 

นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ

 

พิธีกร : อีกประเด็นหนึ่งที่มีน้อง ๆ ถามเข้ามาคือเรื่องของเด็กที่อาจจะมีโอกาสน้อยกว่าในสังคม อาจจะเป็นเด็กพิการหรือกลุ่มเด็กพิเศษเหล่านี้ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างไร ในการที่จะให้การศึกษาหรือปูทางให้เขานั้นได้มีการประกอบอาชีพในการเติบโตต่อไป

 

นายกรัฐมนตรี : ในส่วนตัวดิฉันเองมองว่าเด็กที่เป็นเด็กพิเศษ เด็กด้อยโอกาส หรือเด็กพิการต่าง ๆ นั้น จริง  ๆ เรามองเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่สามารถที่จะเข้าเรียนตามห้องเรียนปกติได้ เราก็อยากเห็นโรงเรียนรับน้อง ๆเข้าเหมือนเด็กปกติบ้าง แต่ถ้าบางกลุ่มที่ต้องให้การดูแลพิเศษอันนี้ก็แน่นอนภาครัฐต้องหาบุคลากร ซึ่งวันนี้ทุกฝ่ายก็เริ่มให้ความสำคัญและต้องดูในส่วนนี้ด้วย แต่สำหรับเด็กกลุ่มนี้ดิฉันก็เชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพและไม่ได้หมายความว่าเด็ก น้อง ๆ กลุ่มนี้จะเรียนไม่เก่ง แต่จริง ๆ แล้วการที่คนเราเก่งนั้นมีเก่งหลายวิธี บางคนอาจจะเก่งวิทยาศาสตร์แต่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ ซึ่งตรงนี้ถ้าเราดึงศักยภาพของเด็กได้ถูกวิธีแล้วเราอาศัยความรู้ความสนใจที่เด็กเป็นจุดศูนย์กลางนั้นมาในการขยายผลต่อ ดิฉันก็เชื่อว่าเราจะมีวิธีการในการพัฒนาได้มากขึ้นซึ่งวันนี้ต้องมาพูดคุยกันมากขึ้น ก็เป็นหนึ่งในแผนของรัฐบาลที่จะนำเข้าไปพิจารณาร่วมกันในการพัฒนาเรื่องการศึกษาอย่างยั่งยืนต่อไป

 

พิธีกร : ซึ่งพอพูดถึงการศึกษาเราจะเตรียมความพร้อมเด็กของไทยอย่างไรให้ก้าวเข้าสู่โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่ปีเราจะกลายเป็นหนึ่งในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ 10 ประเทศก็ทำธุรกิจ ธุรกรรมการค้าระหว่างกันได้สะดวก การศึกษาหลักสูตรต่าง ๆ ก็มีการปรับตามให้เหมาะสมอย่างไรที่ก้าวเข้าสู่สากลมากขึ้น

 

นายกรัฐมนตรี : จริง ๆ ต้องบอกว่าการที่ประเทศจะเข้มแข็ง การที่ประเทศจะก้าวไปข้างหน้านั้น การลงทุนที่สำคัญคือการลงทุนในทรัพยากรคน ซึ่งวันนี้รัฐเองก็พยายามที่จะจัดสรรงบประมาณในการลงทุนทางด้านของคนมากขึ้น ปีนี้คุณธีรัตถ์อาจจะเห็นแล้วว่าจะเป็นอีกหนึ่งในวาระสำคัญของรัฐบาลในปีที่ 2 ที่เราจะก้าวเข้าสู่การพัฒนาและการสร้างความสมดุล โดยเฉพาะการสมดุลทางด้านของทรัพยากรบุคคลซึ่งไม่ว่าจะเป็นส่วนของแรงงานหรือว่าทางด้านของเด็ก เยาวชน หรือนักศึกษาที่จบ ตรงนี้ก็คือเป็นสิ่งที่เราต้องพูดคุยกันระยะยาวและการแก้ปัญหาดิฉันเองมองว่าจะไม่ได้แก้ปัญหาที่จุดใดจุดหนึ่ง เราอยากจะบูรณาการการแก้ปัญหาอย่างครบวงจรนั้นคือทางด้านของนักเรียน คุณครู โรงเรียน อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ และทางด้านของบรรยากาศของชุมชนที่เราจะมองทั้งระบบเข้าด้วยกัน ซึ่งตรงนี้ก็คงจะเห็นการประชุมมากขึ้นและมีจำนวนความถี่มากขึ้นก็จริง ๆ ก็ได้เปิดประชุมไปครั้งหนึ่งแล้วอย่างไม่เป็นทางการก็คงจะหารือกับผู้ที่มีประสบการณ์ในวงการศึกษาที่จะคอยให้คำแนะนำและข้อคิดต่าง ๆ ต่อไป

 

พิธีกร : ก็คือเป็นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่จะให้เติบโตไปพร้อมกับประเทศ ในขณะที่รัฐบาลเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่ว่าตัวบุคคลเองก็ต้องตอบโจทย์สามารถที่จะเติบโตไปพร้อมกับประเทศด้วย นั่นคือทำให้ประเทศชาติเติบโตอย่างมั่นคง ต้องกลับมาในฐานะที่ท่านนายกฯ เป็นแม่คนหนึ่ง ท่านดูแลน้องไปป์อย่างไรบ้าง

 

นายกรัฐมนตรี : สิ่งที่เราดูแลน้องไปป์อย่างวันเด็กวันนี้ ก็ดูแลอย่างที่บอกว่าน้องไปป์ไม่ได้บอกว่าวันเด็กเป็นวันพิเศษวันนี้วันเดียว แต่วันเด็กคือวันของลูกทุกวันเพราะแม่จะให้ความสำคัญกับลูก แต่วิธีการสอนลูกดิฉันเองก็สอนด้วยหลักคิดมากกว่าคือเราไม่สามารถจะไปบอกเขาได้ทุกข้อว่าเขาต้องทำอย่างไร แต่สิ่งที่จะบอกเขาได้คือสอนหลักให้เขาคิดและเขาได้ตัดสินใจและให้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด และสอนทางด้านของอารมณ์และหลักความคิดเมตตาธรรมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ที่เราพยายามที่จะเสริมเข้าไป เพราะว่าวิชาการหรือวิธีเรียนเขาสามารถที่จะเรียนที่โรงเรียนกันได้แต่อาศัยความเป็นคนดี หรือการที่ทำให้น้องไปป์สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุขและอย่างมีความสุข อันนี้ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของแม่และหน้าที่ครอบครัวที่จะต้องสอนและเสริมสร้างต่อไป

 

พิธีกร : ท่านนายกฯ ทำงานหนักมาก มาทำงานตั้งแต่เช้า กลับบ้านดึกมีเวลาพูดคุยและพบกับน้องไปป์มากน้อยแค่ไหน

 

นายกรัฐมนตรี : พูดคุยก็คือว่าหลังเลิกงานคือกลับบ้านก็จะพยายาม อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องไปข้างนอกก็พยายามที่จะกลับบ้านให้เวลากับลูกก็จะเจอกับลูกก่อนนอน หรือถ้ามีภารกิจจนถึงดึกก็จะตื่นเช้าจะได้เจอลูก ถ้าวันไหนวันหยุดก็จะมีโอกาสไปส่งไปโรงเรียน ซึ่งช่วงหลังก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสมีเวลาน้อยแต่เมื่อก่อนจะไปส่งลูกที่โรงเรียน

 

พิธีกร : น้องไปป์ขออะไรเป็นของขวัญวันเด็กปีนี้ครับ

 

นายกรัฐมนตรี : ไม่ได้ขออะไรค่ะ เพราะแม่ก็ให้ความสำคัญกับเขาทุกวัน สิ่งที่เขาอยากได้จริง ๆ แล้วก็คือเวลาที่แม่ได้อยู่กับลูก ก็เคยได้ยินน้องไปป์พูดว่าวันนี้ไปป์มีความสุขเวลาที่แม่ได้นั่งอยู่กับเขา อันนี้คือสิ่งที่เราก็คงจะให้กับลูกตรงนี้เท่าที่เวลาทั้งหมดที่มี

 

พิธีกร : เหมือนที่เราเห็นการรณรงค์เรื่องการกอดลูก คือการให้ความอบอุ่นกับคนในครอบครัวเรา นี่คือสิ่งที่อยากจะให้ครอบครัวทุกครอบครัวนั้นให้ความสำคัญกับหน่วยเล็ก ๆ ที่สุดคือบ้าน

 

นายกรัฐมนตรี : หน่วยเล็ก ๆ ตรงนี้ที่มองว่าไม่ใช่เป็นวัตถุแต่เป็นสิ่งที่จิตใจก็เหมือนเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งที่เรากำลังเริ่มปลูกลงดิน แต่ถ้าเราให้ปุ๋ยอย่างถูกวิธีเมล็ดนี้ก็จะเติบโตเป็นต้นกล้าและเป็นต้นไม้ที่แข็งแรง เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ดิฉันให้ลูกก็คือว่าแม้ว่าการกอดลูก การสัมผัสกับลูกต้องให้ลูกได้รู้สึกว่าแม่กอดเพราะรักจริง ๆ ไม่ใช่กอดเป็นแค่รูปธรรมว่านี่คือการกอด นั้นคือสิ่งที่เราพยายามปลูกฝังกับลูกและต้องไปนั่งดูว่าลูกรู้สึกกับเราอย่างไร ไม่ใช่ว่าลูกต้องรู้หน้าที่ว่ามาถึงต้องมากอดแม่ไม่ใช่ นี่คือสิ่งพยายามที่จะเสริม เพราะว่าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างเช่นเรื่องเทคโนโลยี เรื่องเกมส์ เรื่องอะไรต่าง ๆ บางครั้งเด็กจะใช้เรื่องเทคโนโลยีมากแต่ลืมทางด้านของการสัมผัส ดิฉันเองก็พยายามที่จะสร้างความสมดุลตรงนี้ด้วย

 

พิธีกร : งานวันเด็กที่จัดที่ทำเนียบฯ ปีนี้น้องไปป์มาด้วย มีเซอร์ไพรส์หรือไม่ครับที่นี้

 

นายกรัฐมนตรี : มีค่ะ ปีนี้ขออนุญาตแม่แทนที่จะเล่านิทานเป็นหน้าที่ลูกบ้าง

 

พิธีกร : น้องไปป์จะทำอะไรครับ

 

นายกรัฐมนตรี : จะให้โชว์อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเด็ก ๆ ที่มาร่วมงานค่ะ

 

พิธีกร : จะต้องมาดูที่ทำเนียบฯ ในสาย ๆ วันนี้ น้องไปป์มาที่นี่

 

นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ

 

พิธีกร : กิจกรรมวันเด็กในปีนี้ที่ทำเนียบฯ มีหลายกิจกรรมมากมายใช่ไหมครับคือ มีที่โซนตึกไทยคู่ฟ้า โซนที่เป็น D.I.Y. (ทำมันด้วยตัวคุณเอง) มีพาไปดูห้องท่านนายกฯ

 

นายกรัฐมนตรี : มีตั้งแต่นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และมีเกมส์ตามซุ้มต่าง ๆ แต่ปีนี้ที่พิเศษมากขึ้นคือมีการนำเอาเทคโนโลยีมาให้กับเด็ก อย่างเช่น ดิฉันเองมีโอกาสได้เจอเด็ก ๆ ตลอดก็จะมีเทคโนโลยีในการพบกันกับเด็ก และมีห้องเรียนวินัย และเรื่องของกิจกรรมตามซุ้มต่าง ๆ และได้มีโอกาสนำ ส.ค.ส. ที่ได้รับจากน้อง ๆ มาโชว์ก็น่าสนใจค่ะ วันนี้ดิฉันหยิบมาด้วยและหนึ่งในตัวอย่าง แต่มีสิ่งที่อยากจะบอกก็คือว่าจาก ส.ค.ส. ที่ส่งมาบอกว่า ขอให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ มีความสุขมาก ๆ หนูไม่มีอะไรให้แต่หนูขอให้นายกฯ มีความอบอุ่นมาก ถ้าหนาวก็ให้ใส่เสื้อกันหนาวก็อบอุ่นเอง และขอให้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ อันนี้คือสิ่งที่จะบอกว่ารู้สึกประทับใจ อันนี้คือหนึ่งในตัวอย่างจริง ๆ ก็มีมาก น้องเขารู้สึกในการเอื้ออาทร นี่คือสิ่งที่รู้สึกถึงความเอื้ออาทรแม้ว่าเราไม่เคยเห็นหน้าเด็กคนนี้เลย ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่สิ่งนี้สื่อสารได้ว่าความรู้สึกทางใจที่เขามีให้กับเรา เขาเป็นห่วงเรา อยากจะฝากบอกน้องด้วยว่าช่วงนี้อากาศหนาวอย่าลืมใส่เสื้อกันหนาวเดี๋ยวจะไม่สบาย

 

พิธีกร : ผมมีอีกคนหนึ่งเหมือนกันครับท่านนายกฯ บอกว่า ปีใหม่นี้ขอให้นายกฯ มีความสุข ทำงานก็ขอให้มีแต่รอยยิ้มอย่าเครียดเพราะว่า โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า นายกฯ ห้ามโกรธนะครับ ยิ้มไว้เวลาเครียดเพราะยิ้มคือกำลังใจไม่ให้เครียด

 

นายกรัฐมนตรี : น่ารักจัง จริง ๆ ต้องใช้ได้กับทุกคนว่าไม่ให้เครียดเพราะวันนี้เราอยากเห็นรอยยิ้ม

 

พิธีกร : จะเห็นว่าในงานวันเด็กที่ทำเนียบฯ มีซุ้มที่ให้เด็กเป็น D.I.Y. คือต้องการส่งเสริมให้เด็กสามารถสร้างสรรค์จากฝีมือตนเองได้ด้วย และมีกิจกรรมมากมายตลอดทั้งวัน

 

นายกรัฐมนตรี : ทั้งวันค่ะ และยังมีทางด้านของขนมต่าง ๆ และสิ่งที่ให้ความรู้ต่าง ๆ ให้กับเด็กด้วย

 

พิธีกร : มีการ์ตูนเล่มหนึ่งที่จะแนะนำทำเนียบรัฐบาล แนะนำรัฐบาลว่าเป็นอย่างไร

 

นายกรัฐมนตรี : อยู่ในกระเป๋านี้

 

พิธีกร : อยู่ในกระเป๋านี้ น้อง ๆ ที่มาทำเนียบฯ ก็อาจจะได้ของรางวัลตรงนี้กลับไปด้วย

 

นายกรัฐมนตรี : ใช่ค่ะ

 

พิธีกร : วันนี้ขอคุณท่านนายกรัฐมนตรีมากครับ ท่านผู้ชมรับทราบแล้วนะครับว่าในวันเด็กปีนี้ทางรัฐบาลได้มีการจัดกิจกรรมหลากหลาย ที่ทำเนียบรัฐบาลแห่งนี้ก็มีการจัดกิจกรรมเช่นกัน แต่อย่างที่ท่านนายกฯ บอกไปนะครับว่า วันเด็กนั้นไม่ใช่เพียงแค่วันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม ทุกวันเป็นวันของเด็กและสิ่งที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญนั้นก็คือจะต้องมีการพัฒนาตั้งแต่ก่อนที่เด็กจะเกิดจนถึงเด็กเติบโต ทุกภาคส่วนนั้นมีส่วนสำคัญร่วมกันในการที่จะทำให้เด็กซึ่งถึงแม้ว่าเป็นหน่วยเล็ก ๆ ของสังคม แต่เด็กเหล่านี้จะเติบโตมาเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศสืบต่อไปครับ ทั้งหมดคือรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนผมธีรัตถ์ รัตนเสวี สวัสดีครับ

 

.....................................................

 

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

 

 

นายกรัฐมนตรีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ 2556 ที่สนามเสือป่า ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กเยาวชนควบคู่พัฒนาการศึกษา

$
0
0
นายกรัฐมนตรีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ 2556 ที่สนามเสือป่า ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กเยาวชนควบคู่พัฒนาการศึกษา

นายกรัฐมนตรีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 ที่สนามเสือป่า เชิญชวนทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของเด็กอย่างต่อเนื่อง ให้ความสำคัญกับเด็กเยาวชนทุกวันด้วยความรักความเมตตา เพื่อให้เด็กเยาวชนไทยสร้างอนาคตและความเข้มแข็งของประเทศ  ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชนและพัฒนาการศึกษาควบคู่กันไป

วันนี้ (12 ม.ค.56) เวลา 09.00 น. ณ เวทีกลาง สนามเสือป่า สำนักพระราชวัง นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 ที่จัดโดยกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวม 4,000 คนเข้าร่วมงาน

เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงสนามเสือป่า บริเวณจัดงานของกระทรวงศึกษาธิการ นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้ชมการแสดงยิมนาสติกลีลาของเด็กและเยาวชน จากนั้น นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงานโดยสรุปว่า การจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติของประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง  โดยกระทรวงศึกษาธิการได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับทุกส่วนราชการ หน่วยงาน และองค์กรเอกชน จัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ  สำหรับการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 ในส่วนกลางมีการจัดงานและพิธีเปิดงานที่สนามเสือป่า สำนักพระราชวัง โดยการนำคำขวัญของนายกรัฐมนตรีที่มอบไว้ว่า “รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน” มาเป็นหลักและแนวทางในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และสนุกสนาน ด้วยการจัดให้มีกิจกรรม ความบันเทิง การแสดง เกมส์ และการมอบหนังสือของขวัญของที่ระลึกอีกมากมาย  การจัดงานดังกล่าวได้รับความเอื้อเฟื้อความอนุเคราะห์อย่างดียิ่งจากสำนักพระราชวังที่กรุณาอนุญาตให้ใช้สนามเสือป่าเป็นสถานที่สำหรับการจัดงานครั้งนี้

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 สรุปสาระสำคัญว่า วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เรียกรอยยิ้มให้สดใส เรียกความอบอุ่นของครอบครัว โดยการจัดงานวันเด็กแห่งชาติมีวัตถุประสงค์สำคัญที่อยากให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก ให้ความสนใจกับเด็ก รวมถึงเปิดเวทีให้โอกาสเด็กได้ทำกิจกรรม มีการแสดงออกที่สร้างสรรค์ รวมถึงให้เด็กเยาวชนไทยได้รู้จักหน้าที่ของตน ได้อยู่ในระเบียบวินัยที่ดี  ซึ่งรัฐบาลอยากเห็นเด็กเยาวชนและลูกหลานของเราได้มีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้นทั้งความรู้ด้านการเรียน ทางสติปัญญา ความฉลาด ควบคู่ไปกับการพัฒนาทัศนคติที่ดีอันหมายถึงการเป็นเยาวชนที่มีคุณธรรม จริยธรรม เมตตาธรรม กตัญญู และเอื้ออาทรกัน ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนได้เห็นความสำคัญของเด็กอย่างต่อเนื่อง  ไม่ใช่เฉพาะให้ความสำคัญเพราะมีการฉลองวันเด็กแห่งชาติ  โดยอยากเห็นผู้ใหญ่ใจดีทุกคนให้ความสำคัญกับเด็กเยาวชนในทุกวันด้วยความรักความเมตตาที่อยากเห็นเด็กเยาวชนไทยได้สร้างอนาคตและความเข้มแข็งของประเทศสืบไป

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความหมายของคำขวัญวันเด็กประจำปี 2556 “รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน” ที่นายกรัฐมนตรีได้มอบให้ไว้ว่า เพื่อที่จะให้ทุกคนตระหนักถึงประโยชน์ในการที่จะให้เด็กของเราได้พัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้  โดยคำว่า “รักษาวินัย” คืออยากให้เด็กเยาวชนทุกคนรู้จักคำว่ากติกาหรือการรักษาวินัย ทั้งกติกาในบ้าน กติกาในโรงเรียน และกติกาของสังคมที่เด็กเยาวชนไทยได้เข้าใจกติกาการอยู่ร่วมกัน  เพราะวินัยหรือกติกาเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สังคมไทยมีระเบียบ มีการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สันติ และพัฒนาให้เกิดความรักความสามัคคี “ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา” ที่หมายความว่าอยากเห็นเด็กไทยรู้จักขยันขวนขวายหาความรู้ที่ไม่ใช่เพียงแค่ในโรงเรียน แต่อยากเห็นการหาความรู้นอกเหนือจากตำราเรียน  เพราะวันนี้มีความรู้มากมายอยู่รอบตัว  ทั้งสื่อทางอินเทอร์เน็ต ข่าวสาร หนังสือพิมพ์ หรือการพูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์ ให้รู้จักการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการกระทำเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงหรือ Learning by doing จะทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เกิดปัญญาที่เพิ่มพูนขึ้น รวมทั้งอยากให้ปลูกฝังจิตสำนึกของเยาวชนไทยว่าการเรียนรู้นั้นต้องเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต จะต้องเติมเต็มความรู้ตลอดเวลาเพื่อให้ทันกับโลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วน “นำพาไทยสู่อาเซียน” นั้น จะมีการเปิดประชาคมอาเซียนในปี 2558 ที่เราจะรู้จักประเทศเพื่อนบ้านอีก 9 ประเทศ  จะทำให้เศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนเข้มแข็ง  ซึ่งการที่เราจะรู้จักแต่ละประเทศนั้นจะต้องเรียนรู้ด้านภาษาเพื่อสื่อสารความเข้าใจ วัฒนธรรม การเรียนรู้ของสังคมที่กว้างขึ้น อันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ทุกประเทศที่มาประเทศไทยได้ประทับใจในความเป็นคนไทย มีวัฒนธรรมอันดีของไทย  และนำมาซึ่งการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชน และพัฒนาการศึกษาที่ควบคู่กันไป  โดยในปี 2556 รัฐบาลร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน  จะร่วมกันพัฒนาการเรียนการสอนของเด็กพัฒนาเยาวชน ที่จะใช้ลักษณะของการบูรณาการช่วงอายุ ให้ความสำคัญในการพัฒนาตามช่วงอายุ  โดยพัฒนาเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ให้การให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องกับเด็กตั้งแต่ในวัยเด็ก  พัฒนาเยาวชนอย่างต่อเนื่องตามช่วงอายุที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นระบบและยั่งยืนต่อไป

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กดปุ่มบนแท่นเพื่อทำพิธีเปิดฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 และร่วมร้องเพลง “หน้าที่เด็ก” กับเด็กและเยาวชนด้วย ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ทักทายเด็กและเยาวชน พร้อมกับเดินเยี่ยมชมกิจกรรมของส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังบริเวณจัดกิจกรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

---------------------------------

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

วิมลมาส รัตนมณี รายงาน

ฐานันดร์ นาคยุติ ถ่ายภาพ

นายกรัฐมนตรีมอบโอวาทเยาวชนสัมพันธ์ ย้ำรัฐบาลตระหนักความสำคัญของเด็กเยาวชนโดยกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาเด็กเยาวชนทุกช่วงอายุ พร้อมส่งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ห่างไกลยาเสพติด

$
0
0
นายกรัฐมนตรีมอบโอวาทเยาวชนสัมพันธ์ ย้ำรัฐบาลตระหนักความสำคัญของเด็กเยาวชนโดยกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาเด็กเยาวชนทุกช่วงอายุ พร้อมส่งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ห่างไกลยาเสพติด

นายกรัฐมนตรีมอบโอวาทเยาวชนสัมพันธ์ในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ 2556 ย้ำรัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของเด็กเยาวชนโดยกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาเด็กเยาวชนทุกช่วงอายุตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันให้ห่างไกลยาเสพติด  แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดโอกาสให้เยาวชนมีการเรียนรู้อย่างเสมอภาค พัฒนาเยาวชนวันนี้ให้เป็นผู้นำในอนาคต

 

วันนี้ (12 ม.ค.56) เวลา 09.30 น. ณ บริเวณสถานที่จัดกิจกรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนามเสือป่า สำนักพระราชวัง นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเยี่ยมเยียนและให้โอวาทแก่เยาวชนสัมพันธ์ ในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 ซึ่งจัดโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการอำนวยการเยาวชนสัมพันธ์ ข้าราชการตำรวจ คณะชมรมแม่บ้านตำรวจ คณะเยาวชนสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวม 1,800 คนเข้าร่วมงาน

พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวรายงานโดยสรุปว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้เริ่มโครงการฝึกอบรมเยาวชนสัมพันธ์ตั้งแต่ปี 2519 ในสมัย พลตำรวจเอก ณรงค์ มหานนท์ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อทำการฝึกอบรมเด็กและเยาวชนตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ ที่มีอายุระหว่าง 8-14 ปี ให้ได้รับความรู้ เป็นประโยชน์ ปลูกฝังให้มีความกตัญญู ความสามัคคี มีระเบียบวินัย รู้จักการเสียสละ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและครอบครัว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาเสริมสร้างให้เด็กและเยาวชนมีพฤติกรรมและทัศนคติที่ดีในการดำเนินชีวิตในอนาคต ซึ่งได้ดำเนินการตามโครงการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 39 ปี มีการฝึกอบรมเยาวชนสัมพันธ์ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 321 รุ่น มีเด็กและเยาวชนที่ผ่านการฝึกอบรมจำนวน 113,965 คน  นอกจากนี้ยังได้ขยายโครงการไปยังหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น สถาบันการศึกษาต่าง ๆ และสร้างภูมิคุ้มกันในเรื่องยาเสพติดให้กับเด็กและเยาวชนทั่วทั้งตำรวจนครบาล  โดยโครงการฝึกอบรมเยาวชนสัมพันธ์มีคณะกรรมการหลายฝ่าย ประกอบด้วยภาคเอกชนและข้าราชการตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล มีศูนย์ฝึกอบรมเยาวชนสัมพันธ์เป็นหน่วยงานรองรับการปฏิบัติงาน สำหรับทุนในการดำเนินการฝึกอบรมนั้นแต่เดิมได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากผู้บริจาคและผู้มีจิตศรัทธาส่วนหนึ่ง  อีกส่วนหนึ่งได้จากการที่คณะกรรมการอำนวยการได้ร่วมรณรงค์จัดกิจกรรมหารายได้  และต่อมาทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของโครงการฝึกอบรมเยาวชนสัมพันธ์ จึงได้มีการจัดงบประมาณรองรับ  และในปี พ.ศ. 2555 ได้ทำการฝึกอบรมถึง 9 รุ่น  มีเด็กเยาวชนที่ผ่านการฝึกอบรมจำนวนทั้งหมด 2,976 คน นอกจากนี้คณะวิทยากรเยาวชนสัมพันธ์ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลยังได้สนับสนุนหน่วยงานที่ร้องขอให้ทำการฝึกอบรมโดยใช้หลักสูตรเยาวชนสัมพันธ์เป็นจำนวนถึง 6 ครั้ง มีเยาวชนที่ผ่านการอบรมเป็นจำนวนถึง 1,700 คน

จากนั้น เด็กชายสักทอง แซ่ตั้ง ผู้ฝึกอบรมเยาวชนสัมพันธ์รุ่นที่ 319 ได้เป็นตัวแทนเยาวชนสัมพันธ์ กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้มาเยี่ยมและมอบโอวาทแก่คณะเยาวชนสัมพันธ์เพื่อปฏิบัติตนเป็นคนดีต่อไป  โดยเยาวชนสัมพันธ์ทุกคนขอเป็นกำลังใจให้นายกรัฐมนตรีในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อพัฒนาประเทศ

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบโอวาทแก่เยาวชนสัมพันธ์เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 สรุปสาระสำคัญว่า เด็กและเยาวชนคืออนาคตที่สำคัญของประเทศที่จะทำให้ประเทศมีความเข้มแข็งและเจริญต่อไป  ดังนั้นโครงการฝึกอบรมเยาวชนสัมพันธ์ถือว่าเป็นหนึ่งกิจกรรมที่มีความสำคัญ มีผลในการพัฒนาและสร้างจิตสำนึกของเด็กและเยาวชนโดยตรง  โดยต้องขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้จัดกิจกรรมนี้อย่างต่อเนื่องทุกปี  อันเป็นกิจกรรมที่เน้นให้เด็กเยาวชนได้รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนพร้อม ๆ ไปกับการรักษาความเจริญด้านการงอกงามของจิตใจ ความเป็นผู้นำ ความอดทน เสียสละ รู้จักรักษาวินัย และส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และปฏิบัติตัวเองให้มีประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว รวมถึงสังคมและประเทศชาติต่อไป  ซึ่งสอดคล้องกับคำขวัญวันเด็ก “รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน” ในปีนี้  ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็กเยาวชน  โดยรัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเด็กและเยาวชนขึ้นตามความเหมาะสมตามช่วงอายุตั้งแต่ในครรภ์มารดาจนถึงการเจริญเติบโตขึ้นเป็นเยาวชนของชาติ  พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีความแข็งแรงทางด้านการสร้างภูมิคุ้มกันให้ห่างไกลยาเสพติด  พร้อมกับการรู้เท่าทัน เข้าใจการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว  เป็นเยาวชนที่ดีที่สามารถดำรงอยู่ได้ในสังคมไทย  โดยนโยบายดังกล่าวมีความสอดคล้องและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานควบคู่ไปกับการฝึกอบรมเยาวชนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ดังนั้นอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานได้ให้ความสำคัญกับเยาวชน เปิดโอกาสให้เยาวชนได้มีการเรียนรู้อย่างเสมอภาค มีโอกาสได้ทำคุณประโยชน์ที่สำคัญต่อประเทศชาติและสังคม  รวมถึงพัฒนาเยาวชนของเราวันนี้ให้เป็นผู้นำในอนาคตต่อไป

“ ดิฉันได้มีโอกาสพูดกับน้อง ๆ เยาวชน 1,000 กว่าคนในวันนี้  ก็ไม่แน่วันหนึ่งน้องเยาวชนหลาย ๆ คนอาจจะกลับมายืนอยู่ในตำแหน่งนี้  หรืออาจจะมายืนอยู่ในหลาย ๆ ตำแหน่งที่สำคัญที่มีผลต่อประเทศชาติ  และอยากให้สิ่งต่าง ๆ นี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการในการจัดกิจกรรมฝึกอบรมเยาวชนของเราให้เข้มแข็งสืบต่อไป  และขอขอบคุณน้อง ๆ เยาวชนที่ให้ความสนใจในการที่จะตั้งใจเข้ารับการอบรมในโครงการนี้  หลังจากที่ได้รับความรู้ในโครงการนี้ก็หวังว่าน้องเยาวชนทุกคนจะได้นำเอาความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรมไปทำให้ตนเองนั้นได้เรียนรู้ รู้ทัน และสร้างภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญเยาวชนต้องห่างไกลยาเสพติด และเป็นตัวอย่างของเยาวชนที่ดีในสังคมต่อไป  รวมถึงการร่วมกันคิดส่งเสริมให้สิ่งแวดล้อมและชุมชนต่าง ๆ เป็นชุมชนที่สร้างสรรค์และปราศจากยาเสพติดต่อไปเพื่อจะได้เป็นภูมิคุ้มกันให้กับประเทศในอนาคต” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในโอกาสวันเด็กแห่งชาติปีนี้ขอส่งความปรารถนาดีไปยังเด็กเยาวชนทุกคนในที่นี้และทั่วประเทศ  ให้ได้ยึดถือและปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้องอย่างดีงาม อย่างกตัญญู เชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ผู้ใหญ่ที่ให้การฝึกอบรมสั่งสอน รวมถึงรู้จักการรับผิดชอบ รักษาวินัย การศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์กับสังคมโดยรวมและเพื่อการก้าวเป็นผู้นำต่อไป

ต่อจากนั้น ตัวแทนเยาวชนสัมพันธ์ได้มอบของที่ระลึกแด่นายกรัฐมนตรี จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะพร้อมด้วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมกันปล่อยแพรป้ายเยาวชนสัมพันธ์  แล้วนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมเยียนคณะเยาวชนสัมพันธ์ที่บริเวณด้านหน้าเวที ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 ที่ทำเนียบรัฐบาล

---------------------------------

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

วิมลมาส รัตนมณี รายงาน

ฐานันดร์ นาคยุติ ถ่ายภาพ

 

นายกรัฐมนตรีพร้อมบุตรชายเที่ยวชมงานวันเด็กฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล

$
0
0
นายกรัฐมนตรีพร้อมบุตรชายเที่ยวชมงานวันเด็กฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล

นายกรัฐมนตรีพร้อมน้องไปป์บุตรชายเที่ยวชมงานวันเด็กฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยน้องไปป์ได้แสดงมายากลให้เด็กเยาวชนและผู้ปกครองที่เดินทางมาร่วมกิจกรรมงานวันเด็กแห่งชาติได้รับชม ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ที่มาเที่ยวชมงานและสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก

 

วันนี้ (12ม.ค.56) เวลา 10.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมบุตรชาย ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ ได้เดินทางมาร่วมกิจกรรมงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยภายในงานเด็กแห่งชาติปีนี้ มีเด็กและเยาวชนจากพื้นที่ต่าง ๆ พร้อมผู้ปกครองเดินทางเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งภายในงานมีของรางวัลและกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจมากมาย เช่น การสนทนาด้วยวิดีโอ (Video Chat) ผ่านศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย กิจกรรมถ่ายภาพที่ระลึกงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2556 กิจกรรมแท็บเล็ตสำหรับผู้บกพร่องทางสายตา กิจกรรมล่ามอิเล็กทรอนิกส์  และการแสดงมายากลจากบุตรชายนายกรัฐมนตรี หรือน้องไปป์ ฯลฯ โดยได้มีการจัดกิจกรรมแบ่งเป็นโซนต่างๆ ประกอบด้วย 1. โซน เรียนรู้ ภูมิใจ ตึกไทยคู่ฟ้า   2. โซน เรียนรู้ ร่วมใจ ก้าวไปในอาเซียน 3. โซน เรียนรู้ ร่วมพัฒนาเด็กไทย สดใสสู่อนาคต 4. โซน เรียนรู้ รักษาวินัย เด็กไทยพัฒนา และ5. โซน อนาคตชาติก้าวไกล ศักยภาพเด็กไทยน่าทึ่ง

เมื่อนายกรัฐมนตรี เดินทางถึงทำเนียบรัฐบาล ได้รับชมการแสดงร้องเพลง “หน้าที่เด็ก”  จากคณะเด็กเยาวชนสุนทราภรณ์ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า พร้อมตัดริบบิ้นปล่อยลูกโป่งทำพิธีเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 ก่อนเยี่ยมชมกิจกรรมหมู่บ้านอาเซียน ณ บริเวณหน้าตึกสันติดไมตรี  รวมทั้งได้เปิดตัวแสตมป์วันเด็ก โดยการติดแสตมป์บนแบ็คดรอบ

จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังตึกสันติไมตรี (หลังนอก) เพื่อมอบเกียรติบัตรแก่ผู้ชนะการประกวดเรียงความเรื่องดี ๆ ที่หนูอยากเล่า ภายใต้หัวข้อ “เด็กไทยใฝ่เรียนรู้” จำนวน 60 คน เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีได้ชมการแสดงมายากลจากน้องไปป์กบุตรชาย โดยมีผู้ที่เดินทางมาเที่ยวชมงานวันเด็กฯ ร่วมรับชมด้วย ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากเด็กเยาวชน ผู้ปกครองและสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก พร้อมชมการเล่านิทานประกอบดนตรี เรื่อง “ดีมากจ๊ะ”

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ไปยังบริเวณโถงกลางและตึกสันติไมตรี (หลังใน) เพื่อเยี่ยมชมนิทรรศการที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้จัดแสดงไว้ เช่น “วงจรชีวิตเด็กและเยาวชน” กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กิจกรรมเพื่อสุขภาพเด็กและเยาวชนไทย กระทรวงสาธารณสุข นิทรรศการเทคโนโลยีสำหรับผู้พิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนิทรรศการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้ถ่ายภาพร่วมกับเด็กที่ได้รับการคัดเลือกจากการประกวดเรียงความ จำนวน 60 คน ณ ตึกไทยคู่ฟ้า รวมทั้งได้นำกลุ่มเด็กดังกล่าวเยี่ยมชมห้องทำงานนายกรัฐมนตรีด้วย ก่อนไปเยี่ยมชมกิจกรรมงานวันเด็กฯ กิจกรรมหนูน้อยผู้ประกาศข่าว “ยุวโฆษก” ณ ตึกนารีสโมสร ต่อไป

--------------------------------

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

วิไลวรรณ/รายงาน

 

นายกรัฐมนตรีร่วมกิจกรรมหนูน้อยผู้ประกาศข่าว “ยุวโฆษก” พร้อมตอบคำถามจากพิธีกรเด็ก ระบุต้องการเห็นเด็กมีความสุขทุกวัน

$
0
0
นายกรัฐมนตรีร่วมกิจกรรมหนูน้อยผู้ประกาศข่าว “ยุวโฆษก” พร้อมตอบคำถามจากพิธีกรเด็ก ระบุต้องการเห็นเด็กมีความสุขทุกวัน

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจกรรมหนูน้อยผู้ประกาศข่าว “ยุวโฆษก” พร้อมเปิดโอกาสให้ตัวแทนยุวโฆษกสัมภาษณ์

 

วันนี้ (12 ม.ค.56) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการเปิดงาน  วันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 และเยี่ยมชมกิจกรรมการจัดงานวันเด็กตามซุ้มกิจกรรมต่าง ๆ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจกรรมหนูน้อยผู้ประกาศข่าว “ยุวโฆษก” พร้อมเปิดโอกาสให้ตัวแทนยุวโฆษกสัมภาษณ์

เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้ทักทายเด็กที่เข้าร่วมกิจกรรมหนูน้อยผู้ประกาศข่าว “ยุวโฆษก” หลังจากนั้นได้ขึ้นไปบนเวทีผู้ประกาศข่าวเพื่อให้สัมภาษณ์ตัวแทนยุวโฆษก โดยมีผู้ดำเนินรายการจำนวน 2 คน คือเด็กชายณัฐพัชร กาญจนาภรณ์ นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก และเด็กหญิงชาลิสา บุญ-หลง นักเรียนโรงเรียนจิตรลดา ดังนี้

เด็กชายณัฐพัชร กาญจนาภรณ์ ถามว่า ความหมายของคำขวัญวันเด็กประจำปี 2556 ที่นายกรัฐมนตรีมอบให้หมายความว่าอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าความหมายของคำขวัญวันเด็กแบ่งออก 3 ความหมาย คือ 1. รักษาวินัย คือการรักษากติกาที่จะใช้ร่วมกันกับเด็กๆ  อย่างเช่น กรณีอยู่ในบ้าน ต้องกำหนดกติกาว่าจะต้องตื่นนอนเวลาไหน อาบน้ำเวลาไหน แต่งตัวไปโรงเรียนเวลาไหน ส่วนกรณีอยู่ในโรงเรียนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน และวินัยทางสังคม กิจกรรมทางสังคม ที่เด็กๆ ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ กติกาของสังคมที่อยู่ร่วมกัน 2.ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา คือต้องการเด็กๆ ใฝ่เรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน รวมถึงเรียนรู้ทางระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งการเรียนรู้ต้องเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง ปฏิบัติอย่างจริงจัง นำมาต่อยอดความรู้ที่ได้รับอย่างรอบคอบให้กว้างขวางมากขึ้น และ 3.นำพาไทยสู่อาเซียน คือ ต้องการเห็นเด็กไทยใน 2 ปีข้างหน้ารู้จักประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นไม่ใช่เฉพาะในแถบอาเซียน รวมถึงการพัฒนาด้านภาษาต่างประเทศในการสื่อสารมากขึ้น ทำความเข้าใจประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เพื่อสร้างความประทับใจต่อเพื่อนบ้าน และต่อประเทศไทย เพื่อสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกันนำไปสู่การมาท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น

เด็กหญิงชาลิสา บุญ-หลง ถามว่าของขวัญวันเด็กที่นายกรัฐมนตรีต้องการทำ และมอบให้เด็กๆ คืออะไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต้องการเห็นเด็กมีความสุข มีความรักที่ได้รับจากพ่อ – แม่ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญอย่างแรก ในส่วนของรัฐบาลจะร่วมกันบูรณาการทำงานร่วมกับผู้ปกครอง ครู และสังคมเพื่อให้เข้าใจเด็กในแต่ละช่วงอายุว่ามีความต้องการอะไรบ้าง เพื่อความสุขของเด็กทุกคน ไม่ใช่เฉพาะความสุขแค่วันเด็ก ต้องการเห็นเด็กมีความสุขแบบนี้ทุกๆ วัน

หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังสวนสัตว์ดุสิต เพื่อไปแจกของขวัญให้กับเด็กๆ ที่มาร่วมกิจกรรม ณ สวนสัตว์ดุสิต

--------------------------------

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

นราวุธ รายงาน

 


ประธานบริหารบริษัทมารุเบนิ คอปอเรชั่นแสดงความสนใจมีส่วนร่วมและสนับสนุนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าและระบบขนส่งมวลชนของไทย

$
0
0
ประธานบริหารบริษัทมารุเบนิ คอปอเรชั่นแสดงความสนใจมีส่วนร่วมและสนับสนุนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าและระบบขนส่งมวลชนของไทย

ผู้บริหารบริษัทมารุเบนิ คอปอเรชั่น สำนักงานแสดงความสนใจขยายการลงทุนในประเทศไทย

วันนี้ (14 ม.ค. 56) เวลา 11.00 น. ณ ห้องสีม่วง นายเทรุโอะ อาซะดะ ประธานบริหารบริษัทมารุเบนิ คอปอเรชั่นเข้าเยี่ยมคารวะนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพบหารือกับประธานบริหารบริษัทมารุเบนิฯ โดยครั้งนี้นับเป็นการพบกันครั้งที่สอง ภายหลังเคยพบหารือกันช่วงการเยือนประเทศญี่ปุ่นของนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนมีนาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีที่ทางบริษัทมารุเบนิฯ ที่ได้รับรางวัล Thailand’s Best Friends 2012 ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันถึงการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย – ญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความขอบคุณที่ทางบริษัทมารุเบนิฯ ให้ความสนใจในการร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของไทย โดยสำหรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ของไทยจะให้ความสำคัญกับการผลิตพลังงานที่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการแสวงหาพลังงานทางเลือกเพื่อใช้ในอนาคต ในส่วนความร่วมมือของบริษัทฯ กับทางการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ทางรัฐบาลไทยยินดีที่บริษัทร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเส้นทางคมนาคมซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุน ซึ่งบริษัทมารุเบนิฯ และบริษัทญี่ปุ่นอื่นๆ จะได้รับประโยชน์ในการขยายการค้าการลงทุนอุตสาหกรรมสาขาต่างๆ ทั้งในไทยและอาเซียน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความมั่นใจว่าทางการไทยพร้อมสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเอกชนต่างชาติที่มีความสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจของไทยมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ในโอกาสนี้ ประธานบริหารบริษัทมารุเบนิฯ กล่าวยืนยันความสำเร็จของบริษัทฯในการลงทุนในประเทศไทย และการวางแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งกล่าวถึงการที่นายชินโสะ อาเบะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นอีกครั้งจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้เข็งแรงยิ่งขึ้น และการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีอาเบะในสัปดาห์นี้จะเป็นส่วนสำคัญในการกระชับและเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระหว่างไทย – ญี่ปุ่นให้พัฒนายิ่งขึ้น

**************************************

วิเทศสัมพันธ์ สำนักโฆษก

ไทย-ญี่ปุ่นย้ำความสัมพันธ์อันดี พร้อมแสวงหาความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน

$
0
0
ไทย-ญี่ปุ่นย้ำความสัมพันธ์อันดี พร้อมแสวงหาความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน

นายชิเกะคะสุ ซาโต Mr. Shigekazu Sato เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในโอกาสเข้ารับหน้าที่ใหม่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

วันนี้ เวลา 11.30 น. นายชิเกะคะสุ ซาโต Mr. Shigekazu Sato เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในโอกาสเข้ารับหน้าที่ใหม่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญการสนทนา ดังนี้

นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ และกล่าวว่าไทยมีความยินดีและพร้อมต้อนรับ นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 17-18 มกราคมนี้ ทั้งนี้เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ กล่าวว่าการเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปีของผู้นำญี่ปุ่น ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญต่อญี่ปุ่นเป็นลำดับต้น มีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก และการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นถือเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มประเทศอาเซียน

นายกรัฐมนตรีหวังที่จะแสวงหาความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มพูนมูลค่าการค้าและการลงทุน และยินดีที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในไทย อาทิ โครงการบริหารจัดการน้ำ ความร่วมมือระบบรางและรถไฟความเร็วสูง ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในโครงการท่าเรือน้ำลึกเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายอีกด้วย

ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ ชื่นชมประเทศไทยที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีพื้นฐานที่เข้มแข็ง ทั้งทางด้านสาธารณูปโภค ประชาธิปไตย พร้อมทั้งแสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยที่ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับญี่ปุ่น และหวังว่าการพบกันในครั้งนี้จะช่วยสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป

**********

กลุ่มวิเทศสัมพันธ์ สำนักโฆษก

 

รองประธานบริษัท Credit Suisse AG ภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิค เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย

$
0
0
รองประธานบริษัท Credit Suisse AG ภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิค เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย

 

นาย Jose Isidro N. (Lito) Camacho รองประธานบริษัท Credit Suisse AG ภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิค เข้าเยี่ยมคารวะนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย

 

 

วันนี้ (14 ม.ค. 56) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นาย Jose Isidro N. (Lito) Camacho รองประธานบริษัท Credit Suisse AG ภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิค เข้าเยี่ยมคารวะนางสาวยิ่งลักษณ์     ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับรองประธานบริษัท Credit Suisse AG ภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิคสู่ประเทศไทย และยินดีที่ได้ทราบว่าจะมีการจัดประชุม Credit Suisse Asian Investment Conference (AIC) ครั้งที่ 16 ณ เขตการปกครองพิเศษฮ่องกง ระหว่างวันที่ 18-22 มีนาคม 2556 พร้อมยืนยันรัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) และการส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และมุ่งมั่นที่จะรักษาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจต่อไป

ในโอกาสนี้ รองประธานบริษัท Credit Suisse AG ภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิคได้กราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุม Credit Suisse Asian Investment Conference (AIC) ครั้งที่ 16 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หากไม่ติดภารกิจยินดีที่จะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเวทีที่สำคัญและมีประโยชน์ต่อนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความประสงค์ที่จะแบ่งปันประสบการณ์ นโยบายของรัฐบาล และเห็นว่าการทำงานร่วมกับภาคเอกชนมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังเห็นว่าในอีก 2 ปีจะมีการรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) การประชุมในครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อประเทศอาเซียนโดยรวมอีกด้วย

 

********************************

กลุ่มวิเทศสัมพันธ์ / สำนักโฆษก

 

คณะบุคคลต่าง ๆ อวยพรปีใหม่นายกรัฐมนตรี

$
0
0
คณะบุคคลต่าง ๆ อวยพรปีใหม่นายกรัฐมนตรี

นายกรัฐมนตรีขอบคุณคณะบุคคลที่มาอวยพรปีใหม่

 

วันนี้ (14 มกราคม 2556) เวลา 14.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ได้มีคณะบุคคล เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อมอบของขวัญและอวยพรปีใหม่ จำนวน 9 คณะ ดังนี้ 1. คณะผู้บริหารหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ 2. นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 3. นายนิพนธ์ นาคสมภพ นายกสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) 4. นางพิไลวรรณ หงสกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป สาขางามวงศ์วาน จำกัด 5. คณะผู้บริหารบริษัท อิมโพเรียม กรุ๊ป 6. นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานกรรมการบริหารบริษัท อนันดา ดิเวลวอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) 7. นายอารักษ์ พรประภา กรรมการบริหารบริษัท เอ พี ฮอนด้า จำกัด 8. คณะผู้บริหารบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และ 9. ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3

 

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณคณะบุคคลต่าง ๆ ที่มาอวยพรปีใหม่พร้อมมอบของที่ระลึกแก่คณะบุคคลดังกล่าว

 

......................................................

 

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

วีรพงษ์ รายงาน

 

ผู้บริหารคุรุสภาพร้อมศิลปินนักร้องประชาสัมพันธ์การจัดงานวันครู ประจำปี 2556

$
0
0
ผู้บริหารคุรุสภาพร้อมศิลปินนักร้องประชาสัมพันธ์การจัดงานวันครู ประจำปี 2556

คุรุสภาเตรียมจัดกิจกรรมวันครูรายได้สมทุนมูลนิธิคุรุสภา บริเวณสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา

วันนี้ (15 มกราคม 2556) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ดร.ดิเรก พรสีมา ประธานกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ นางสาวรจนา วงศ์ข้าหลวง รักษาการในตำแหน่งเลขาธิการคุรุสภา และคณะผู้บริหารคุรุสภา ได้นำนักเรียน นักศึกษา และศิลปิน นักร้อง จากบริษัทอาร์เอส จำกัด (มหาชน) มาประชาสัมพันธ์การจัดงานวันครู ประจำปี 2556 พร้อมมอบดอกกล้วยไม้ ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำวันครู แก่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี

 

สำหรับการจัดงานวันครู ในวันที่ 16 มกราคม 2556 คุรุสภาได้กำหนดแก่นสาระของการจัดงาน “เฉลิมพระเกียรติพระแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเป็นครู” เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2555 โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย กิจกรรมระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ การคารวะครูอาวุโส การยกย่องเชิดชูเกียรติและประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พิธีมอบรางวัล อาทิ รางวัลคุรุสภา รางวัลครูภาษาไทยดีเด่น รางวัลครูภาษาฝรั่งเศสดีเด่น รางวัลคุรุคุณธรรม การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระแม่แห่งแผ่นดินผู้ทรงเป็นครู พร้อมร่วมลงนามถวายพระพรออนไลน์ และร่วมส่ง SMS โดยพิมพ์ข้อความ “รักครู” หรือ “rakkru” ส่งมาที่หมายเลข 4747007 เพื่อนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายสมทบทุนมูลนิธิของคุรุสภา และร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ณ บริเวณสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา

 

...............................................................

 

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

วีรพงษ์ รายงาน

โฆษกรัฐบาลเผยสัปดาห์หน้าประชุมครม.นอกสถานที่ฯ จังหวัดอุตรดิตถ์

$
0
0
โฆษกรัฐบาลเผยสัปดาห์หน้าประชุมครม.นอกสถานที่ฯ จังหวัดอุตรดิตถ์

 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมตรีเผยสัปดาห์หน้าประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ เป็นลำดับต่อไป

 

 

วันนี้ (15 ม.ค.56) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ นายทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงว่า นายกรัฐมนตรี ปรารภต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการว่า จะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้าที่จะถึงนี้ ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ สำหรับการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ฯ ครั้งต่อไป จะจัดที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และตามด้วยภาคใต้เป็นลำดับต่อไป

นอกจากนี้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังได้กล่าวถึงพระราชบัญญัติโครงสร้างพื้นฐานซึ่งขณะนี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการเรื่องดังกล่าวในระยะสุดท้ายแล้ว โดยวันที่ 21 มกราคม 2556 จะได้นำเสนอเป็นยุทธศาสตร์ ทั้งในเรื่องการขนส่ง สินค้า และการคมนาคม  ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 29 มกราคม 2556 ต่อไป ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ จะสามารถลดต้นทุนการขนส่งได้เป็นจำนวนมาก และทำให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน

 

----------------------------------

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

วิไลวรรณ/รายงาน

 

นายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลให้การดูแลชาวโรฮิงญาตามหลักมนุษยธรรม

$
0
0
นายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลให้การดูแลชาวโรฮิงญาตามหลักมนุษยธรรม

นายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหารือกับ ยูเอ็น เพื่อหาทางออกกรณีชาวโรฮิงญา

วันนี้ (15 มกราคม 2556) เวลา 12.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีชาวโรฮิงญาลักลอบเข้ามาในประเทศไทยว่า วันนี้ องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น (UN : United Nations) จะได้หารือกับกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งในระหว่างการหารือถึงทางออกนั้น รัฐบาลจะให้เจ้าหน้าที่ดูแลชาวโรฮิงญาตามหลักมนุษยธรรมไปก่อน ในส่วนของการส่งตัวกลับหรือให้ไปประเทศที่ 3 นั้น รัฐบาลยังไม่มีนโยบาย ต้องหารือกับ ยูเอ็น และประเทศปลายทางที่จะรับด้วย
................................................................
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
วีรพงษ์ รายงาน

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

$
0
0
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

โฆษกรัฐบาลเผยคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โดยจะมีมาตรการติดตามภาวะราคาจำหน่ายสินค้าอย่างใกล้ชิดไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้า  โดยอ้างสาเหตุจากการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

 

วันนี้ (15 ม.ค.56) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ นายทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงถึงเรื่องการกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำว่า  คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้

กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า  1. นโยบายการดูแลราคาสินค้า การดูแลราคาสินค้าเป็นภารกิจหลักด้านหนึ่งของกระทรวงพาณิชย์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 84 (1) ที่บัญญัติให้รัฐสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาด และได้ดูแลราคาสินค้าโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542  คือ      1.1 ราคาสินค้าต้องเป็นธรรม  มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงสอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริง  1.2 ปริมาณสินค้ามีเพียงพอไม่ขาดแคลน  มีปริมาณครบถ้วนถูกต้อง 1.3 ไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าหรือกักตุนสินค้า  จะเข้มงวดในการดูแลทั้งต้นทางและปลายทาง โดยใช้มาตรการทางกฎหมาย มาตรการบริหาร และมาตรการเสริม

2. แนวทางการกำกับดูแล 2.1 ด้านราคาสินค้า ตรึงหรือชะลอการปรับราคาสินค้า โดยจะมีการกำกับดูแลราคาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับราคาสินค้าสูงขึ้นเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค ดังนี้

การดูแลราคาสินค้า ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) โดยแบ่งการกำกับดูแลเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มที่ 1 สินค้าที่ต้องใช้วัตถุดิบนำเข้า (2) กลุ่มที่ 2  สินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก  (3) กลุ่มที่ 3 สินค้าที่ใช้วัตถุดิบทั้งในประเทศและนำเข้า และ (4) กลุ่มที่ 4 หมวดอาหารสด ซึ่งหากจำเป็นต้องปรับราคาจะพิจารณาให้ปรับราคาตามภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง สำหรับหมวดอาหารสด เนื่องจากราคาขึ้นลงตามฤดูกาล จะมีการตรวจสอบราคาและเข้มงวดในการปิดป้ายราคา รวมทั้งการประกาศราคาแนะนำ

การดูแลราคาจำหน่ายของตัวแทนจำหน่ายและผู้ค้าส่ง (กลางน้ำ) ดูแลราคาจำหน่ายส่งให้มีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับราคา ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) เพื่อมิให้มีการฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบทั้งด้านราคาจำหน่ายและปริมาณ

การดูแลราคาจำหน่ายปลีก (ปลายน้ำ) ติดตามราคาจำหน่ายปลีกให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต โดยกำหนดสินค้าที่ต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด 3 ระดับ ได้แก่ (1) Watch List (WL) ระดับปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์ใกล้ชิดเป็นประจำทุกสัปดาห์ (2) Priority Watch List (PWL) ระดับที่เริ่มไม่ปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง และ    (3) Sensitive List (SL) ระดับที่ส่อเค้าว่าจะมีปัญหา ติดตามราคา และภาวะเป็นประจำทุกวัน

2.2 ด้านปริมาณ ดูแลให้สินค้าเพียงพอกับความต้องการ ไม่มีการกักตุนสินค้า

3. มาตรการกำกับดูแล      3.1 มาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ (1) การกำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด (2) การปรับราคาสูงขึ้นต้องได้รับอนุญาต (3) การให้แจ้งปริมาณ สถานที่เก็บต้นทุน ค่าใช้จ่าย และ (4) ห้ามมิให้มีการกักตุน ปฏิเสธการจำหน่าย และประวิงการจำหน่ายสินค้าควบคุม       3.2 มาตรการบริหาร (1) ขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้า และ(2) การประกาศราคาแนะนำสินค้า    3.3 การกำกับดูแลราคาสินค้าให้เป็นธรรม  คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ได้กำหนดให้มีคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาสินค้า จำนวน 9 คณะ ได้แก่ (1) สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป (2) น้ำมันพืชบริโภค (3) ปุ๋ยเคมี (4) อาหารสัตว์ (5) ผลิตภัณฑ์นม  (6) เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ (7) อาหารปรุงสำเร็จ (8) ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน และ (9) กลั่นกรองการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมและมาตรการกำกับดูแล เพื่อพิจารณาราคาจำหน่ายสินค้าที่เหมาะสมในกรณีที่มีผู้ประกอบการแจ้งขอปรับราคาจำหน่ายสินค้าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค

4. ผลกระทบการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำครั้งนี้ต่อต้นทุนและราคาสินค้า ดังนี้

4.1 ด้านต้นทุนการผลิต สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ซึ่งจะไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใน วันที่ 1 มกราคม 2556เช่น สินค้าน้ำมันพืช สบู่ ผงซักฟอก ปูนซีเมนต์ และเหล็กเส้น เป็นต้น เนื่องจากได้มีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 (ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำครั้งแรกเป็นวันละ 300 บาท ใน 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี สมุทรปราการ และภูเก็ต)  ทั้งนี้ จะมีมาตรการติดตามภาวะราคาจำหน่ายสินค้าอย่างใกล้ชิดไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้า      โดยอ้างสาเหตุจากการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ สำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) จะได้รับผลกระทบประมาณร้อยละ 2 - 6 เช่น สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องหนัง เป็นต้น

4.2 ด้านราคาจำหน่าย อาจมีผลทางจิตวิทยา ทำให้ร้านค้าส่งและร้านค้าปลีกปรับราคาจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ จะมีมาตรการจัดส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบราคาจำหน่ายอย่างใกล้ชิดหากพบว่าร้านค้ามีพฤติกรรมฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

4.3 การเพิ่มค่าจ้างแรงงานจะทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง นอกจากนี้ นโยบายของรัฐบาลในส่วนต่าง ๆ เช่น การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นต้น จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง

4.4 ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการเพื่อลดภาระต้นทุนได้จากค่าแรงงาน ที่จ่ายเพิ่มขึ้นโดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ใช้แรงงานให้สูงขึ้นตาม ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้น ต้นทุนลดลง เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะต่อไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมด้วย

5. แนวโน้มราคาสินค้าในปี 2556

สินค้าส่วนใหญ่มีราคาทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับปี 2555 เนื่องจากวัตถุดิบซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการผลิตสินค้าคาดว่าราคายังคงทรงตัว สำหรับปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ น้ำมันดิบดูไบ คาดว่าจะอยู่ที่ 100 - 120USD/บาร์เรล (ปี 2555 อยู่ที่ 88.98 - 124.09 USD/บาร์เรล) และอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าจะอยู่ที่ 28.50 - 32.50 บาท/USD (ปี 2555 อยู่ที่ 30.38 - 32.05 บาท/USD) ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลยังคงมีมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน

----------------------------------

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

 

นายกรัฐมนตรีเผยสั่งการเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจุดการติดตั้งกล้อง CCTV ในพื้นที่ชายแดนใต้

$
0
0
นายกรัฐมนตรีเผยสั่งการเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจุดการติดตั้งกล้อง CCTV ในพื้นที่ชายแดนใต้

นายกรัฐมนตรีระบุการติดตั้งกล้อง CCTV มีความสำคัญต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการติดตามและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน

 

วันนี้ (15 มกราคม 2556) เวลา 12.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มคนร้ายเผาทำลายกล้อง CCTV บริเวณพื้นที่ต่าง ๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ได้รับรายงานแล้ว พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ ดูแลในพื้นที่ ซึ่งประเด็นกล้อง CCTV นั้น ต้องมีการนำเข้าหารือที่ประชุม ในเรื่องของจุดการติดตั้งว่าเป็นจุดที่มีการเผาทำลายซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือไม่ เพราะกล้อง CCTV นั้น ถือเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมากในเรื่องของการติดตามและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน ในส่วนประเด็นที่ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี บอกว่ามีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลในเรื่องนี้อย่างละเอียดก่อน

 

................................................................

 

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

วีรพงษ์ รายงาน

 

นายกรัฐมนตรีเผยการสร้างเยาวชนไทยให้มีคุณภาพมีความสำคัญ และมีความจำเป็นมากสำหรับประเทศไทย

$
0
0
นายกรัฐมนตรีเผยการสร้างเยาวชนไทยให้มีคุณภาพมีความสำคัญ และมีความจำเป็นมากสำหรับประเทศไทย

นายกรัฐมนตรีระบุรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นฐานของเยาวชนไทย ให้ความสำคัญกับการผลิตบุคลากร รวมถึงการศึกษาของประเทศไทย ให้ก้าวทันและเติมเต็มช่องว่างของสังคมผู้สูงอายุในอนาคต

 

วันนี้ (15 ม.ค.56) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี   เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง การพัฒนาการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 (The 1st Thailand Constructionism Symposium 2013) จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ โดยมี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ประธานมูลนิธิศึกษาพัฒน์ และรองประธานมูลนิธิไทยคม ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้บริหารสถานศึกษา คณาจารย์ และสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานความเป็นมาของโครงการ และวัตถุประสงค์การจัดประชุมสัมมนาวิชาการเรื่อง การพัฒนาการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 (The 1st Thailand Constructionism Symposium 2013) ว่า เพื่อจัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สรุปการเรียนรู้และเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนา “ศักยภาพในการเรียนรู้” ของคนไทย ด้วยการประยุกต์ใช้ทฤษฎี Constructionism ในบริบทต่างๆ ทั้งในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในภาคการศึกษา และการพัฒนาศักยภาพของพนักงานที่อยู่ทั้งในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ภายใต้โครงการประภาคารปัญญา ของมูลนิธิศึกษาพัฒน์ และโครงการแสงเทียนแห่งปัญญา เพื่อร่วมพัฒนาคุณภาพคนไทยผ่านการพัฒนาการศึกษาโดยความร่วมมือของ 3 สถาบันการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษากล่าวต่อไปว่า การประชุมครั้งนี้เน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างผู้บริหารจากภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้แทนประชาชน โดยได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิด้านศาสตร์แห่งการเรียนรู้และการพัฒนาภาคการศึกษาและชุมชน ทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ แสดงผลงานการศึกษาวิจัยและวิชาการที่น่าสนใจ สะท้อนความคิดเพื่อเป็นแนวทางยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้

นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการ ว่าการจัดงานดังกล่าวถือเป็นโอกาสสำคัญอีกก้าวหนึ่งของการศึกษาไทยที่จะได้ช่วยกันคิดเพื่อพัฒนาวงการการศึกษาของไทยให้มีความเข้มแข็ง เจริญก้าวหน้าเพื่อสร้างเยาวชน ซึ่งเป็นบุคลากรหลัก เป็นกำลังสำคัญของประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมีกิจกรรมต่างๆ ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศ ร่วมสร้างอนาคตของประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค มีหลายอย่างที่เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย ซึ่งได้ร่วมกันสร้างร่วมกันทำ เช่น วงการแพทย์ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร รวมไปถึงคุณภาพของสินค้าและบริการทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม และความภูมิใจเยาวชนไทยที่ไปสร้างชื่อเสียงในเวทีโลกในหลายๆ สาขา ความสำเร็จดังข้างต้นมาจากทรัพยากรบุคคลที่มีมาตั้งแต่ต้นในอดีตจนถึงปัจจุบัน

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าประเทศไทยมีแผนพัฒนาไปข้างหน้า มีทิศทางตามความต้องการของตลาดที่เคลื่อนตัวไปตามเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเซีย ตามการประกาศการเป็นประชาคมอาเซียน เพื่อสร้างเสริมเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งในอนาคตข้างหน้ามีทั้งโอกาสและความท้าทายที่รออยู่ ความท้าทายเหล่านี้จะเกิดขึ้นและเป็นจริงได้ขึ้นอยู่กับบุคลากรทางด้านทรัพยากรบุคคลที่เป็นทรัพยากรอันมีค่าของประเทศ ไม่ว่าจะใช้งบประมาณเท่าไหร่ก็ไม่สามารถสร้างบุคลากรได้ภายในวันเดียว ต่อไปในอนาคตประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ การสร้างเยาวชนไทยให้มีคุณภาพจึงมีความสำคัญ และมีความจำเป็นมากสำหรับประเทศไทย

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า การพัฒนาวงการศึกษาและเยาวชนของประเทศไทยอย่างถูกต้อง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น จะทำให้สิ่งที่เรามองว่าเป็นความท้าทายกลับกลายมาเป็นโอกาส ในส่วนของรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นฐานของเยาวชนไทย และให้ความสำคัญกับการผลิตบุคลากร รวมถึงการศึกษาของประเทศไทย ให้ก้าวทันและเติมเต็มช่องว่างของสังคมผู้สูงอายุต่อไป ซึ่งต้องช่วยกันสร้างบุคลากรโดยเฉพาะครูซึ่งเป็นแม่พิมพ์ของชาติให้สามารถผลึกบุคลากรที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้อย่างรวดเร็ว ผสมผสานกับระบบเทคโนโลยีที่มีส่วนช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมาก เสริมสร้างศักยภาพของเด็กนักเรียน ทั้งนี้ การเรียนรู้ที่ดีไม่ได้จำกัดเฉพาะในห้องเรียน การเรียนรู้มีอยู่ทุกที่ ขอให้เลือกหยิบจับความรู้ต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวเรามาประยุกต์สอนเด็กให้เข้าถึงแหล่งความรู้ มีการปฏิบัติจริง รู้จริง ทำให้ผลลัพธ์ออกมานำไปสู่การต่อยอดอย่างแท้จริงต่อไป

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีไดกล่าวชื่นชมกระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิศึกษาพัฒน์ในการริเริ่มร่วมกับทุกหน่วยงานนำการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นจุดศูนย์กลาง มาเป็นต้นแบบการเรียนการสอน และขยายการเรียนการสอนไปประยุกต์กับชุมชน หรือบริษัทให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล อย่างมีประสิทธิภาพ และนำเทคโนยีมาปรับปรุงวงการการศึกษาเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้วงการศึกษาต่อไปในอนาคต

---------------------------------

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

นราวุธ รายงาน

 

สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 15 มกราคม 2556

$
0
0
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 15 มกราคม 2556

วันนี้ เมื่อเวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี

นรม. ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนดูแลสวัสดิการครูให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

$
0
0
นรม. ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนดูแลสวัสดิการครูให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นรม. ชื่นชมความเสียสละของครูที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า

 

วันนี้ (16 มกราคม 2556) เวลา 09.00 น. ณ หอประชุมคุรุสภา สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ  นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานวันครู ประจำปี พ.ศ. 2556 (ครั้งที่ 57) โดยมี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายดิเรก พรสีมา ประธานกรรมการคุรุสภา ตัวแทนครู อาจารย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก จัดโดย กระทรวงศึกษาธิการ

นายดิเรก พรสีมา ประธานกรรมการคุรุสภา กล่าววัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมวันครู ประจำปี 2556ว่า เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2555 ตลอดจนเพื่อระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมเชิดชูเกียรติครูวิชาชีพครู ตลอดจนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ ความสามัคคีและความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษากับประชาชน ธำรงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ โดยปีนี้เป็นการจัดกิจกรรมทางวิชาการในการเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะในการประกอบวิชาชีพครู  ภายใต้คำว่า “เฉลิมพระเกียรติพระแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเป็นครู” จึงขอให้ครูทั่วประเทศได้ร่วมกันทำความดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเฉลิมพระเกียรติพระแม่แห่งแผ่นดิน เนื่องในโอกาสมหามงคลในครั้งนี้ โดยมีการจัดกิจกรรมพร้อมกันทั่วประเทศ กิจกรรมหลัก คือการทำบุญตักบาตรเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับครูที่ล่วงลับไปแล้ว พิธีรำลึกถึงพระคุณครู การเชิญชวนให้ศิษย์และประชาชนไปคารวะครู การส่งบัตรคารวะครู การยกย่องเชิดชูเกียรติครู การประชุมสัมมนาทางวิชาการ และการจัดนิทรรศการแสดงผลงานของผู้ประกอบวิชาชีพครูที่มีผลงานดีเด่นและได้รับรางวัลคุรุสภา และนิทรรศการเชิดชูเกียรติและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีน้อมเกล้าฯ ถวายราชสักการะ “เฉลิมพระเกียตริพระแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเป็นครู” พร้อมมอบของที่ระลึกให้กับครูอาวุโส และมอบรางวัลให้กับคณะครูอาจารย์ผู้มีความสามารถในสาขาต่าง ๆ

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงานวันครูว่า การจัดงานวันครูในปีนี้เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระแม่แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงเป็นต้นแบบและทรงเป็นครูทั้งแผ่นดิน และในวันที่ 16 มกราคม ของทุกปี ถือว่าเป็นวันครู เพื่อที่จะให้สังคมไทยได้ตระหนักถึงคุณค่าความกตัญญูกตเวทีต่อคุณครู เพราะครูถือเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้วงการการศึกษาและครูเปรียบเสมือนคุณพ่อคุณแม่คนที่สอง และถือเป็นบุคคลที่มีความเสียสละในการถ่ายทอดวิชาความรู้ ภูมิปัญญาความรู้ที่สั่งสมมาให้แก่ลูกศิษย์เป็นคนดีของสังคม และนำความเจริญมาสู่ประเทศชาติ

การปฏิรูปการศึกษาทำประเทศไทยมีการพัฒนาด้านการศึกษาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการสื่อสารต่าง ๆ วงการการศึกษาจึงมีความจำเป็นที่จะต้องร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและสามารถรองรับกับโลกหรือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องร่วมกันพัฒนาและสร้างภูมิคุ้มกันในการศึกษาและความสำคัญของการพัฒนาเนื้อหา หลักสูตรวิชา และวิธีการเรียนการสอน เทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการที่จะให้เกิดองค์ความรู้ต่าง ๆ มากขึ้น

สำหรับการพัฒนาหลักสูตรต่าง ๆ นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ครูมีส่วนสำคัญในการที่จะนำเนื้อหามาปรับปรุงให้มีความทันสมัย เท่าเทียม และมีความโดดเด่นในการสื่อสารและถ่ายทอดวิชาความรู้ไปยังเยาวชนไทย จึงอยากเห็นการพัฒนาที่ต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นสายสามัญ สายอาชีวะ อีกทั้งความรู้นี้ต้องเป็นความรู้ที่ถ่ายทอดและตรงกับงาน ซึ่งจะทำให้ลูกศิษย์สามารถนำไปประกอบอาชีพ และสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ รวมทั้งจะต้องให้ความสำคัญกับการประคับประคองและบ่มเพาะเด็กและเยาวชน เพราะการเรียนรู้จากเทคโนโลยีสามารถเรียนรู้ได้มากมายที่นอกเหนือจากห้องเรียน การที่จะให้ลูกศิษย์หรือเยาวชนได้เรียนรู้ในจุดที่เป็นประโยชน์ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ และต้องทำควบคู่กับความเข้าใจถึงการรักษาวินัย คุณธรรม จริยธรรม เมตตาธรรม พร้อมสนับสนุนให้เห็นถึงความคิดต่างที่เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งคือสิ่งที่รัฐบาลให้การสนับสนุนและยืนยันว่า เครื่องมือต่าง ๆ เป็นสิ่งจำเป็น รัฐบาลพร้อมบูรณาการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียน และสถานศึกษาต่าง ๆ เพื่อที่จะให้เกิดการเรียนการสอนที่เป็นองค์ความรู้ที่กว้างขึ้นและร่วมกันในการพัฒนากลไก การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต่าง ๆ ให้สอดคล้อง การดูแลคุณครูเป็นเรื่องสำคัญ

รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนดูแลสวัสดิการของครูและการดำรงชีวิตให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้นและให้ครูสามารถอยู่ได้อย่างมีเกียรติและมีสวัสดิการที่เหมาะสม โดยเฉพาะครูที่อยู่ในต่างจังหวัดโดยจะให้ความเป็นธรรมอย่างเหมาะสม

ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าว ขอขอบคุณครูทั่วประเทศที่เสียสละ โดยเฉพาะครูของจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาของประเทศ โดยเฉพาะในอนาคตเราจะก้าวเข้าไปสู่สังคมผู้สูงอายุ การผลิตบุคคลกรเป็นเรื่องสำคัญเป็นนโยบายใหญ่ของรัฐบาลที่จะร่วมกันบูรณาการเยาวชนให้เติบโตเป็นเยาวชนที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนและร่วมทำงานกับครู และอยากเห็นการร่วมกันในการบูรณาการวงการศึกษาไทยให้ก้าวทันและสามารถทัดเทียมกับนานาประเทศได้สง่างามและภาคภูมิใจ


……………………………………………..



กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
เกศกนก ปรียานุช/รายงาน

Viewing all 1192 articles
Browse latest View live




Latest Images