นายกรัฐมนตรีย้ำให้มีการบูรณาการเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคเหนือตอนล่าง 1 ควบคู่การท่องเที่ยวการบริการ และการเกษตรแบบครบวงจร รองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
วันนี้ (20ม.ค.56) เวลา 17.30 น. ณ Conference Room 1 ชั้น 4 อาคาร ICIT มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ. ภูมิภาค) ครั้งที่ 1/2556 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ก่อนเข้าสู่การประชุม นายกรัฐมนตรี ได้ปรารภต่อที่ประชุมฯ รับทราบในประเด็นต่าง ๆ ที่จะต้องมีการบูรณาการเชื่อมโยงกัน คือ1. ด้านเศรษฐกิจ จะต้องมีการดำเนินการเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) 2. ด้านการท่องเที่ยว ระดับสากลที่จะรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในส่วนของต่างประเทศ ในฐานะที่เขตเศรษฐกิจที่จังหวัดนี้เป็นมรดกโลก ที่จะต้องร่วมกันพัฒนาให้เกิดศูนย์กลางที่นี่อย่างไร และ 3. เรื่องของภาคการเกษตร ที่จะต้องหารือกัน เพราะปีนี้รัฐบาลเน้นให้ความสำคัญในลักษณะของกลุ่มจังหวัดมากขึ้น (Cluster) เพื่อให้เกิดกลุ่มจังหวัดของการที่จะผสมผสานและการวางโครงสร้างที่เชื่อมต่อกัน โดยเฉพาะรูปแบบของการวางระบบเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะร่วมกับภาคเอกชนในการลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจให้เกิดความเจริญก้าวหน้า และสามารถอำนวยความสะดวก โดยจะเอายุทธศาตร์ของประเทศเป็นตัวนำ จะได้ขับเคลื่อนในส่วนของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดก็จะเดินหน้าไปด้วยกัน เช่น กรณีเรื่องของการท่องเที่ยวซึ่งมีมรดกโลก คือ อุทยานศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยและในส่วนอุทยานประวัติศาสตร์ของจังหวัดกำแพงเพชร จะทำอย่างไรให้มีการบูรณาการของกลุ่มจังหวัดนี้ร่วมกัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งที่สะท้อนไม่ใช่แค่ในเชิงของวัฒนธรรมอย่างเดียว แต่สามารถรวมเรื่องของการท่องเที่ยว การบริการ (สปา) อาหาร ที่เป็นอาหารในเชิงของวัฒนธรรม การละเล่นพื้นบ้าน รวมไปถึงการบริการและงานฝีมือ ภูมิภาคแถบนี้ได้ชื่อว่า เป็นภูมิภาคที่มีแรงงานระดับฝีมือชั้นสูง แต่ยังไม่มีการบูรณาการร่วมกันทั้งหมด ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ รัฐบาลอยากเห็นการพัฒนาร่วมกันเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ คือภาคเหนือตอนล่างถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ามีการร่วมกันบูรณาการอย่างแท้จริงตามยุทธศาสตร์เชื่อได้ว่า การพัฒนาต่างๆ ก็จะมีการขับเคลื่อนในกลุ่มจังหวัดที่อยู่ในภูมิภาคแถบเดียวกัน หรือตามยุทธศาสตร์ของจังหวัดได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า การประชุมในวันนี้ เพื่อร่วมกันหารือในส่วนของการพัฒนา โดยเน้นยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก รวมถึงการพัฒนาในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางคมนาคมที่เชื่อมโยงกัน และเพื่อให้ภาคเอกชนได้เกิดการลงทุนขึ้น ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะเอื้ออำนวย โดยภาครัฐจะเน้นรูปแบบของการลงทุนเป็นสองส่วนคือ การลงทุน SME และการลงทุนในส่วนของบริษัทขนาดใหญ่ ที่จะต้องมีการหารือร่วมกัน
สำหรับในส่วนของอาเซียนนั้น นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า รัฐบาลมองในส่วนของกลุ่ม SME ส่วนทางด้านของสายการบินต่าง ๆ นั้น ไม่ควรมองเฉพาะในเรื่องสายการบินระหว่างประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองสายการบินต้นทุนต่ำ ที่เชื่อมเส้นทางการบินระหว่างภูมิภาคภายในประเทศในส่วนนี้ให้ดีขึ้นต่อไป
จากนั้นที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ประกอบด้วย 4 ด้าน 6 เรื่อง และประเด็นอื่นๆ 5 เรื่อง รวม 11 เรื่อง ดังนี้
1. การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ประกอบด้วย 2 เรื่อง ได้แก่ (1) เร่งรัดการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ แม่สอด จังหวัดตาก ภายในปี 2558 และพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (ผู้แทน กกร. และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง) ขึ้นภายใต้กรอบคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด และความคืบหน้าการส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก เช่น ปัญหารถบรรทุกสินค้าที่มีน้ำหนักเกิน 25 ตัน ปัญหาโครงสร้างที่ชำรุด เป็นต้น ส่วนในระยะยาว มอบหมายสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ สศช. จัดทำแผนแม่บทเพื่อพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในภาพรวม โดยตั้งคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และให้นำข้อเสนอการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดมาพิจารณาในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย (2) เร่งรัดยกระดับด่านภูดู่ อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นด่านถาวรที่ประชุมฯ มอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับไปดำเนินการเร่งรัดการยกระดับด่าน กระทรวงการต่างประเทศรับไปติดตามความคืบหน้าในการประสานกับ สปป.ลาว และกระทรวงมหาดไทยรับไปวางแผนการพัฒนาและเตรียมความพร้อมล่วงหน้าของจังหวัดชายแดนที่มีศักยภาพการดำเนินการ
2. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ประกอบด้วย 2 เรื่อง ได้แก่ (1) เร่งรัดโครงการขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (พิษณุโลก-หล่มสัก) จาก 2 ช่องทางจราจร เป็น 4 ช่องทางจราจร ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม รับไปพิจารณาเร่งรัดดำเนินการขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (พิษณุโลก – หล่มสัก) จาก 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจรให้แล้วเสร็จภายในปี 2558 โดยการดำเนินการตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2554 และ (2)การขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อทบทวนโครงการศึกษาและพัฒนาจังหวัดพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางภาคเหนือตอนล่างและสี่แยกดินโดจีน เพื่อให้เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลง ที่ประชุมฯ เห็นชอบในหลักการและมอบหมายกระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักในการศึกษาทบทวนโครงการฯ โดยให้ศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการมีส่วนในการดำเนินโครงการฯ และมีความเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางและจังหวัดโดยรอบ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป โดยให้หารือกับภาคเอกชนด้วย
3. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประกอบด้วย 1 เรื่อง ได้แก่ การขอรับการสนับสนุนงบประมาณโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก วงเงิน 248.50 ล้านบาท ที่ประชุมฯ มอบหมายให้ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กบอ. รับไปพิจารณาโดยประสานงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
4. การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ ประกอบด้วย 1 เรื่อง ได้แก่ การขอรับสนับสนุนงบประมาณโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดพิษณุโลกเพื่อเป็น Medical Excellent Centre/Medical Tourism วงเงิน 2,900 ล้านบาท ที่ประชุมมีมติมอบหมายกระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับไปพิจารณารายละเอียดโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเป็น Medical Excellence Centre/ Medical Tourism และจัดลำดับความสำคัญในส่วนที่มีความจำเป็นและสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการ รวมทั้งให้พิจารณาร่วมกับยุทธศาสตร์จังหวัดประกอบด้วย
ส่วนประเด็นอื่นซึ่งประชุมฯ ได้มีการหารือนั้น ประกอบด้วย 5 เรื่อง ได้แก่
1. การขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการยกระดับบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและทั่วประเทศ วงเงินรวม 60 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดฝึกอบรม (เสนอโดย สทท.) ที่ประชุมฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานรับไปดำเนินการพัฒนาบุคลากรในภาคท่องเที่ยวให้ทันฤดูท่องเที่ยวเป็นการเร่งด่วน และมอบหมายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการท่องเที่ยวเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2558 เพื่อให้ที่ประชุมได้พิจารณารายละเอียดของโครงการและสนับสนุนงบประมาณต่อไป รวมทั้งมอบหมายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาท่องเที่ยวที่จะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มสูงขึ้นด้วย
2. มาตรการเร่งด่วนเพื่อผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน โดย (1) สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) ในอัตราดอกเบี้ย 2% เป็นระยะเวลา 8 ปี ตลอดจนเร่งผลักดันและสนับสนุนโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ (bio-plastics) และชีวเคมี (bio-chemicals) และ (2) สำหรับมาตรการส่งเสริมด้านอื่นๆ ตามแผนที่นำทางแห่งชาติการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2554-2558) ขอให้มอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการพิจารณาทบทวนและปรับตามความเหมาะสม ที่ประชุมฯ ได้มอบมอบหมายให้ กระทรวงพลังงาน เป็นเจ้าภาพดำเนินการร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บูรณาการการทำงานร่วมกันตั้งแต่การกำหนดนโยบายและแนวทางการส่งเสริม ตลอดจนเลือกจังหวัดต้นแบบการดำเนินการ พร้อมทั้งให้หารือกับภาคเอกชน โดยแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพดำเนินการ และให้หารือร่วมกับ กระทรวงการคลัง กำหนดมาตรการการคลังเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานต่อไป
3.ขอทราบความชัดเจนนโยบายการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ด้านระบบราง ประกอบด้วย (1) โครงการรถไฟความเร็วสูง 3 เส้นทาง (2) โครงการรถไฟทางคู่ 4 เส้นทาง และ (3) การเพิ่มเส้นทางรถไฟ และการเพิ่มเส้นทางรถไฟทางคู่ 2 เส้นทางที่ประชุมฯ ได้มอบหมายกระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาจัดทำแผนการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ด้านระบบรางของประเทศในภาพรวมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องสามารถใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานระบบรางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4 การเร่งรัดจัดตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 สู่การปฏิบัติ เพื่อความต่อเนื่องในการดำเนินการและการติดตามความ ก้าวหน้าผลการดำเนินงานด้านต่างๆ เป็นรูปธรรม ที่ประชุมฯ ได้มอบหมายให้ สศช. รับไปพิจารณาเร่งรัดจัดตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 สู่การปฏิบัติ เพื่อดำเนินการและติดตามความก้าวหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม
--------------------------------
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก